วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

SCC

'เอสซีจี'สะเทือนพิษการเมือง

กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ
วันเสาร์ที่ 01 กุมภาพันธ์ 2014 
http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=217075:2014-02-01-11-43-36&catid=88:2009-02-08-11-23-46&Itemid=418#.UvGluvmSzF8

บิ๊กเอสซีจี ยอมรับกระทบพิษการเมืองแล้ว นำร่องธุรกิจซีเมนต์ ต้องปรับแผนตลาดใหม่   ขอเวลารีวิวภาพรวมทุกกลุ่มธุรกิจอีกครั้ง 1-2สัปดาห์จะชัดขึ้น ชี้ยังมั่นใจรักษาระดับรายได้รวมปี 57โตขึ้น 10% เผยอีก 5 ปีสินทรัพย์รวมโตกว่า 6 แสนล้านบาท 

นายกานต์ ตระกูลฮุน  กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือเอสซีจี เปิดเผยในงานแถลงข่าวผลประกอบการเอสซีจีประจำปี 2556 ว่า ขณะนี้บริษัทได้รับผลกระทบจากวิกฤติการเมืองแล้ว ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ดูจากอัตราการบริโภคปูนซีเมนต์ที่มองว่าทั้งปี 2556 จะเติบโต 10%  แต่เมื่อมองเป็นรายไตรมาส กลับพบว่าค่อยๆ ลดลง โดยไตรมาสแรกเติบโต 10%  ไตรมาส 2 โต 9 %  ไตรมาส 3 โต 5% และไตรมาส 4 โต 6%  เดิมทีคาดการณ์ว่าไตรมาสสุดท้ายจะโต 8-9% ทำให้การเติบโตของธุรกิจปูนซีเมนต์ทั้งปีที่ผ่านมาไม่เป็นไปตามเป้าคือโตเพียง 7% เท่านั้น

    จากผลกระทบดังกล่าวทำให้ปี 2557 บริษัทต้องมาปรับแผนตลาดธุรกิจใหม่โดยเฉพาะธุรกิจปูนซีเมนต์ ที่จากเดิมมีแผนจะส่งออกลดลงจาก 4 ล้านตันปี 2556 ลงมาเหลือเพียง 3 ล้านตันในปีนี้   แต่เมื่อประเมินสถานการณ์ตลาดภายในประเทศแล้วพบว่าทุกอย่างคงชะลอตัวลง โดยเฉพาะโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจากรัฐ  รวมไปถึงการใช้ปูนซีเมนต์ในพื้นที่ต่างจังหวัดที่จะซบเซาลง ทำให้ต้องส่งออกเท่าเดิม เพื่อชดเชยตลาดในประเทศที่หายไป  รวมถึงการหาช่องทางในการส่งออกในกลุ่มสินค้าประเภทอื่นๆ มากขึ้น

    "เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้วเราคาดการณ์ว่าตลาดปูนซีเมนต์ปีนี้จะโต 9% ต้องมาปรับเป้าใหม่คาดว่าทั้งปีจะเหลือไม่ถึง 5% "

    อย่างไรก็ตามนับจากนี้ไปเอสซีจี จะขอใช้เวลารีวิวภาพรวมผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อไปอีก 1-2สัปดาห์โดยดูภาพรวมธุรกิจแต่ละกลุ่มว่าเป็นอย่างไร โดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเคมีที่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน เพราะพึ่งพาตลาดส่งออกด้วย  หากดูจากปี 2556 ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็มาจากตัวแปรหลายเรื่อง ทั้งอัตราแลกเปลี่ยน ปัญหาการเมือง และการผันผวนของค่าเงินในประเทศคู่ค้า    

    อย่างไรก็ตามแม้ว่ากำลังเผชิญกับวิกฤติการเมือง  แต่ปี 2557 บริษัทยังตั้งเป้าว่า จะมีรายได้โตกว่าปี 2556 ในอัตรา 10% เมื่อเทียบจากปีที่แล้ว ที่มีรายได้รวมจากการขายอยู่ที่ 434,251ล้านบาท  เพราะเชื่อมั่นว่าจะบริหารจัดการยอดขายได้ตามเป้า  และยอมรับว่าขณะนี้การกำหนดเป้าหมายหรือการคาดการณ์ธุรกิจแต่ละกลุ่มเริ่มยากขึ้น จากเดิมที่คาดการณ์ว่าปี 2557 ธุรกิจทุกกลุ่ม จะดำเนินไปด้วยดี และจะมียอดขายเพิ่มขึ้นจากปี 2556    

    ส่วนแผนการลงทุน 5 ปี ระหว่างปี 2557-2561 ที่ต้องใช้งบ 2.50 แสนล้านบาทนั้น  ยังเดินหน้าต่อไปไม่ว่าสถานการณ์ภายในประเทศจะเป็นอย่างไร เนื่องจากการลงทุนใหม่ส่วนใหญ่จะอยู่ในอาเซียน  หากการลงทุนทั้งหมดเป็นไปตามแผนจากนี้ไปอีก 5 ปีเอสซีจีจะมีสินทรัพย์รวมโตมากกว่า 6 แสนล้านบาท  จาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 มีมูลค่าสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 440,633 ล้านบาท ในจำนวนนี้จะเป็นสินทรัพย์รวมในอาเซียนที่ออกไปลงทุนก่อนหน้านี้กว่า7.18 หมื่นล้านบาท หรือ 16% ของสินทรัพย์รวม 

    อนึ่งปี 2556 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 434,251 ล้านบาท เพิ่มขึ้น7% จากปีก่อน จากการเติบโตของทุกธุรกิจ และมีกำไร 36,719 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56%จากปีก่อน เนื่องจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในธุรกิจเคมีภัณฑ์ ทำให้เฉพาะรายได้จากการขายในธุรกิจกลุ่มนี้สูงถึง 209,997 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3% และมีกำไร11,292ล้านบาท เพิ่มขึ้น 320% จากปีก่อน และเป็นปีที่ความต้องการใช้ปูนในประเทศสูงขึ้นโดยกลุ่มเอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมีรายได้จากการขาย 174,642 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อน มีกำไร16,092 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% เป็นต้น
-------------------------------------------------------------------------------

กานต์ ตระกูลฮุน รับ "ปูนใหญ่" เตรียมปรับแผนธุรกิจ เผชิญหน้า เศรษฐกิจทรุด

updated: 23 มี.ค. 2557 เวลา 23:59:59 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เอสซีจี  เปิดเผยว่า  การประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2557 วันที่  26 มีนาคมนี้จะเสนอการปรับแผนธุรกิจปี 2557 เพื่อให้คณะกรรมการอนุมัติ โดยแผนธุรกิจปีนี้ยังไม่ได้รับการอนุมัติ  เนื่องจากฝ่ายบริหารจัดทำแผนช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งสถานการณ์การเมืองไม่ปกติจนถึงปัจจุบันกระทบเศรษฐกิจให้ชะลอลง


 ทั้งนี้  ฝ่ายบริหารปรับแผนให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจหลายกรณี  เช่น การเพิ่มปริมาณการส่งออกซีเมนต์ปีนี้อีก 1 ล้านตัน เป็นรวม 4 ล้านตัน จากเดิมคาดว่า จะส่งออก 3 ล้านตัน เพราะเดิมคาดว่าจะเพิ่มยอดขายในประเทศแต่สถานการณ์ปัจจุบันทำให้ต้องนำสัดส่วนในประเทศไปเพิ่มส่งออก อย่างไรก็ตาม แผนดังกล่าวไม่ได้รวมถึงผลกระทบจากกรณีที่ พ.ร.บ.เงินกู้  2 ล้านล้านบาทตกไป เพราะบริษัทฯ ประเมินว่ากรณีดังกล่าวยังไม่ส่งผลต่อธุรกิจในช่วง 1-2 ปีนี้ และผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ 3-4 รายมีงานจนถึงสิ้นปีนี้ ขณะที่โครงการเก่าที่เริ่มต้นไปแล้วก็ยังเดินหน้า ทำให้ยังมีความต้องการใช้ซีเมนต์ แต่ถ้าสถานการณ์การเมืองยังไม่ดีขึ้นไม่มีโครงการใหม่เข้ามาจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในปีต่อไป 


ในช่วง 2 เดือนแรกปี 2557 (ม.ค.-ก.พ.) ยอดขายวัสดุก่อสร้างในประเทศแต่ละประเภทลดลงร้อยละ 5-8 จากคาดการณ์เติบโตประมาณร้อยละ 4-5 ซึ่งเป็นไปตามภาวะการลงทุนที่ได้รับผลจากปัญหาการเมือง และไม่มีรัฐบาลชุดใหม่บริหารประเทศ ขณะที่กลุ่มซีเมนต์เติบโตร้อยละ 4-5 ต่ำกว่าที่ตั้งเป้าว่า จะเติบโตร้อยละ 9-10 เพราะในภาวะปกติช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงต้นเดือนเมษายนก่อนเข้าฤดูฝนจะเป็นช่วงที่ขายซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างได้ดี แต่ปรากฎเป็นช่วงที่ไทยมีปัญหาการเมือง 


ส่วนซีเมนต์ที่ไม่หดตัวเหมือนกลุ่มวัสดุก่อสร้างนั้น มาจากการขายไปจังหวัดชายแดนที่เศรษฐกิจยังคงขยายตัวต่อเนื่อง แต่ห่วงว่าหากสถานการณ์การเมืองไม่ดีขึ้นไม่มีโครงการรัฐใหม่ ๆ เข้ามาจะทำให้ยอดขายโดยเฉพาะกลุ่มวัสดุก่อสร้างแย่ลงในไตรมาส 2-4 ขณะที่การลงทุนเอกชนก็ติดปัญหาการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน  (บีโอไอ) ที่ขณะนี้ยังไม่มีคณะกรรมการใหม่ ซึ่งเอสซีจีมี 1 โครงการร่วมกับนักลงทุนญี่ปุ่นติดอยู่ มูลค่า 3,000 ล้านบาท และยังมีอีกหลายโครงการที่เป็นการร่วมลงทุนกับพาร์ทเนอร์ญี่ปุ่นเช่นกันเตรียมจะยื่นขอรับส่งเสริมมูลค่าลงทุนรวมแล้วกว่าหมื่นล้านบาท  ซึ่งขณะนี้นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับปัญหาการเมืองและไม่แน่ใจจะรอลงทุนได้อีกแค่ไหน


 แม้จะปรับแผนธุรกิจแต่ยังคาดว่ายอดขายโดยรวมปีนี้จะขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับยอดขายรวมปีที่แล้วที่ 434,000 ล้านบาท โดยมีแรงสนับสนุนจากการค้าชายแดนและรายได้ที่มาจากต่างประเทศทั้งโรงงานในต่างประเทศและการส่งออกปัจจุบันมีสัดส่วนสร้างรายได้อยู่ที่ร้อยละ 35 ยังจะขยายตัวได้ดีตามเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว โดยเฉพาะอาเซียนที่สร้างรายได้ร้อยละ 20 ทั้งนี้ จากรายได้ที่มาจากต่างประเทศทั้งหมดร้อยละ 35 แยกเป็นรายได้จากการส่งออกร้อยละ 11 และรายได้จากการตั้งโรงงานในประเทศเพื่อนบ้านร้อยละ 9 ส่วนร้อยละ 15 เป็นการส่งออกไปประเทศนอกอาเซียน


 ทั้งนี้ หากแยกสัดส่วนการส่งออกพบว่าการส่งออกไปอาเซียนคิดเป็นร้อยละ 42 ของการส่งออกทั้งหมดและสัดส่วนนี้อาจจะไม่เปลี่ยนแปลงมากหรืออาจจะลดลงในอนาคต เนื่องจากตลาดที่เอสซีจีส่งออกไปแล้วขยายตัวได้ในระดับที่มีศักยภาพบริษัทฯ จะเลือกไปตั้งโรงงานในประเทศนั้น ซึ่งขณะนี้โรงงาน 3 แห่งที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้แก่ โรงผลิตซีเมนต์ในอินโดนีเซียและกัมพูชา (โรงที่ 2) คาดว่า จะเสร็จปี 2558 และเมียนมาร์จะเสร็จปี 2559 เมื่อทั้งหมดเปิดดำเนินการจะทำให้การส่งออกไปประเทศดังกล่าวลดลง.

ที่มา สำนักข่าวไทย