วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2557

PTG

ตารางผลประกอบการสำคัญ


PTG เล็งใช้งบลงทุนกว่า 1 พันลบ.ขยายปั๊ม 260 แห่ง-ซื้อรถบรรทุกน้ำมันเพิ่ม
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 17 มีนาคม 2557 17:14:23 น.

บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) เล็งใช้งบลงทุนกว่า 1 พันล้านบาท ขยายสถานีบริการ 260 แห่ง และซื้อรถบรรทุกน้ำมันเพิ่ม โดยตั้งเป้าปริมาณขายน้ำมันแต่ละปั๊มเพิ่มเป็น 1.7 แสนลิตร/เดือน จากปีก่อน 1.5 แสนลิตร/เดือน ส่งผลให้รายได้รวมปีนี้เติบโต 30% หลัง 2 เดือนแรกเติบโตแล้ว 20% ส่วนความคืบหน้าตั้งคลังน้ำมันแห่งที่ 9 ในภาคอีสานคาดว่านจะสรุปได้ในช่วงเดือนเม.ย.นี้ ขณะที่ผลศึกษาร่วมทุนผลิต B100 และเอทานอล คาดเริ่มได้ในปึนี้เช่นกัน

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ PTG กล่าวว่า บริษัทตั้งงบลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาทในปีนี้สำหรับขยายสถานีบริการ 260 แห่ง แบ่งเป็นสถานีบริการน้ำมันที่บริษัทดำเนินการเอง(COCO) 230 สาขา และสถานีบริการน้ำมันของตัวแทนจำหน่าย(DODO) อีก 30 สาขา เพื่อที่ในช่วงสิ้นปีนี้จะมีสถานีบริการน้ำมันครบ 1,000 แห่ง จากสิ้นเดือน ธ.ค.56 อยู่ที่ 739 แห่ง และสิ้นเดือน มี.ค.57 จะเพิ่มเป็น 780 แห่ง พร้อมกันนั้น บริษัทจะลงทุนซื้อรถบรรทุกน้ำมันเพิ่มอีก 60-80 คัน

ทั้งนี้ งบลงทุนดังกล่าวยังไม่รวมแผนการสร้างคลังน้ำมันแห่งใหม่แห่งที่ 9 ในพื้นที่ภาคอีสานตอนใต้ โดยอาจจะตั้งอยู่ใน จ.ร้อยเอ็ด หรือ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาว่าขนาดความจุ คาดว่าจะได้ข้อสรุปราวเดือน เม.ย.57 รวมทั้งบริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาตั้งโรงงานผลิต B100 และเอทานอล ในลักษณะการร่วมทุน โดยคาดว่าจะเห็นการลงทุน B100 ก่อนเพราะการศึกษาใกล้ได้ข้อสรุปในอีก 2-3 เดือน ส่วนเอทานอลคงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง

นายพิทักษ์ เปิดเผยอีกว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมในปี 57 เติบโต 30% จากปีก่อนที่มีรายได้ 47,857 ล้านบาท เป็นการเติบโตตามการขยายสถานีบริการน้ำมัน และยอดการจำหน่ายน้ำมันที่คาดปีนี้จะเพิ่มเป็น 1.7 แสนลิตร/ปั้ม/เดือน จากปีก่อน 1.5 แสนลิตร/ปั้ม/เดือน โดยในช่วง 2 เดือนแรกยอดขายเติบโต 20% จากช่วงเดียวกันปีก่อนแล้ว ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย หลังจากสถานีบริการน้ำมันค่อยๆทยอยเปิดใหม่เพิ่มขึ้น

ทั้งปี 57 บริษัทตั้งเป้าปริมาณการจำหน่ายน้ำมันรวมเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ล้านลิตร จากปีก่อนอยู่ที่ 1,578 ล้านลิตร ลูกค้าหลักยังเป็นรถบรรทุกขนาดใหญ่ เครื่องจักรกลการเกษตร ภายใต้คาดการณ์ภาพรวมอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ของไทยในปีนี้น่าจะทรงตัวหรือเติบโตในช่วง 0-3% ส่วนปัญหาโครงการจำนำข้าวยังไม่มีผลกระทบต่อบริษัท แต่หากสุดท้ายแล้วเกษตรกรไม่สามารถปลูกข้าวได้ก็คงกระทบ แต่เชื่อว่าเมื่อถึงฤดูก็คงต้องปลูกตามปกติ

ขณะที่ในปีนี้ประเมินค่าการตลาดที่เหมาะสมอยู่ที่ 1.50-1.70 บาท/ลิตร ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรสุทธิปีนี้สูงกว่าปีก่อน
"ปีนี้แม้จีดีพีทรงตัว แต่เชื่อบริษัทจะเติบโตได้ 30% เกิดจากการประเมินสาขาที่เพิ่มขึ้นและถ้าเศรษฐกิจเป็นแบบนี้เรายิ่งต้องบริหารต้นทุน ค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ และมีแผนปรับปรุงสาขาให้เป็นภาพลักษณ์ใหม่ครบทุกสาขา"นายพิทักษ์ กล่าว
----------------------------------------------------------------------------------------------

ฟุ้ง5ปียอดขายน้ำมัน 1.2 แสนล.

วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม 2014 เวลา 10:34 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ

พีทีจีตั้งเป้าอีก 5 ปี ยอดขายน้ำมันแตะ 1.2 แสนล้านบาท ดันรายได้จากธุรกิจนอนออยล์เป็น 5% ทะลุ 6 พันล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 1% ของยอดขายทั้งหมด ขณะนี้อยู่ระหว่างร่วมทุนโรงงานไบโอดีเซลและเอทานอล คาดชัดเจนภายใน 2-3 เดือนนี้ หวังเพิ่มรายได้ธุรกิจต้นน้ำน้ำมัน "พิทักษ์"เผยปีนี้จะขยายสถานีบริการครบ 1 พันแห่ง พร้อมขยายคลังน้ำมันเพิ่ม

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) ผู้จำหน่ายน้ำมันยี่ห้อพีที เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า บริษัทตั้งเป้าแผน 5 ปี (2557-2561) จะมียอดขายน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 1.2 แสนล้านบาทภายในปี 2561 เทียบกับปี 2556 ที่มียอดขายอยู่ที่ 4.78 หมื่นล้านบาท ที่คำนวณจากยอดขายน้ำมันที่จะเติบโตปีละ 500 ล้านลิตร โดยในปี 2556 สถานีบริการน้ำมันพีทีมีปริมาณการขายอยู่ที่ 1.5 พันล้านลิตร และคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 30% เป็น 2 พันล้านลิตรในปีนี้ จะทำให้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอีก 1% จากปัจจุบันอยู่ที่ 6% ของตลาดน้ำมันโดยรวม สาเหตุที่บริษัทมียอดขายน้ำมันเพิ่มขึ้น มาจากการขยายสถานีบริการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งในปีนี้จะเพิ่มจำนวนสถานีบริการพีทีเป็น 1 พันแห่ง จากปัจจุบันอยู่ที่ 739 แห่ง

    ขณะเดียวกันบริษัทยังเตรียมขยายการลงทุนในธุรกิจต้นน้ำมันเพิ่มขึ้น ล่าสุดอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อร่วมทุนในโรงงานผลิตไบโอดีเซลและเอทานอล คาดว่าในส่วนของการร่วมทุนโรงงานไบโอดีเซลจะได้ข้อสรุปภายใน 2-3 เดือนนี้ จากนั้นจะสรุปการร่วมทุนในโรงงานเอทานอลต่อไป ทั้งนี้การลงทุนดังกล่าว เนื่องจากต้องการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน หรือนอนออยล์เพิ่มขึ้น เพื่อลดความเสี่ยง จากปัจจุบันรายได้เกือบทั้งหมดหรือคิดเป็น 99% มาจากการขายน้ำมัน ส่วนที่เหลืออีก 1% เป็นรายได้จากร้านสะดวกซื้อและร้านกาแฟ ดังนั้นหากสามารถสรุปแผนร่วมทุนในโรงงานไบโอดีเซลและเอทานอลก็จะทำให้สัดส่วนรายได้จากธุรกิจนอนออยล์มีโอกาสเกิน 5% ของรายได้ทั้งหมด หรือจะอยู่ที่ประมาณ 6 พันล้านบาทในปี 2561

    ด้านนายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การขยายสถานีบริการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และการขยายคลังน้ำมันอย่างน้อยอีก 1 แห่ง จากปัจจุบันมี 8 แห่ง ที่ลำปาง พิษณุโลก ขอนแก่น นครราชสีมา สระบุรี สมุทรสงคราม ชุมพร และนครศรีธรรมราช ซึ่งคลังแห่งใหม่กำลังเลือกพื้นที่ระหว่างร้อยเอ็ดกับศรีสะเกษ คาดว่าความเป็นไปได้จะอยู่ที่ศรีสะเกษ โดยจะมีข้อสรุปภายในเดือนเมษายนนี้ ส่วนขนาดคลังน้ำมันคาดว่าจะอยู่ที่ 7-10 ล้านลิตร ใช้เงินลงทุน 100-150 ล้านบาท (ยังไม่รวมราคาที่ดิน) ทั้งนี้การขยายคลังน้ำมันเพิ่มขึ้น จะทำให้บริษัทประหยัดค่าขนส่งน้ำมันและไม่จำเป็นต้องสต๊อกน้ำมันจำนวนมาก

    นอกจากนี้พีทีจะซื้อรถเทเลอร์และรถบรรทุกเพื่อใช้ขนถ่ายน้ำมันเพิ่มอีก 80 คัน จากปัจจุบันมีกองรถน้ำมันอยู่ 336 คัน ซึ่งจะทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าสถานีบริการน้ำมันพีทีจีไม่เกิดปัญหาน้ำมันขาดอย่างแน่นอน แม้ว่าพีทีจะยังไม่สนใจลงทุนโรงกลั่นน้ำมันก็ตาม สำหรับในปี 2557 พีทีจีพยายามจะก้าวขึ้นเป็นผู้จำหน่ายน้ำมันที่มีปริมาณสถานีบริการสูงเป็นอันดับ 2 ของประเทศ โดยปัจจุบันอยู่ที่ 739 แห่ง และภายในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 1 พันแห่งทั่วประเทศ

    ขณะที่รายได้จากธุรกิจอื่นๆนั้น จะยังคงเปิดร้านสะดวกซื้อและร้านกาแฟยังคงควบคู่ไปกับการเปิดสถานีบริการน้ำมันของพีทีจี แต่บริษัทจะหันไปลงทุนในธุรกิจต้นน้ำน้ำมันเพิ่มขึ้น โดยสนใจร่วมทุนโรงงานไบโอดีเซลและเอทานอลมากกว่า 1 แห่ง เพราะเชื่อว่าในอนาคตความต้องการใช้พลังงานทดแทนจะมากขึ้น และการผลิตจะอยู่ในวงจำกัด โดยบริษัทตั้งใช้เงินลงทุนสำหรับขยายกิจการและลงทุนในธุรกิจใหม่มากกว่า 1 พันล้านบาทต่อปี ดังนั้นหากการร่วมทุนดังกล่าวประสบความสำเร็จ คาดว่าในปี 2561รายได้จากธุรกิจนอนออยล์จะมากกว่า 5% ของรายได้ทั้งหมด

    ส่วนแผนลงทุนท่อส่งน้ำมันของกระทรวงพลังงาน มองว่าเป็นโครงการที่ดี แต่ภาครัฐจะต้องเป็นผู้ลงทุนเอง เพราะหากให้เอกชนหรือผู้ค้าน้ำมันลงขันกันก็ไม่ไหว เพราะกว่าจะคืนทุนคงต้องใช้ระยะเวลานาน ส่วนกองรถบรรทุกของพีทีจีนั้น เชื่อว่าหากโครงการท่อส่งน้ำมันเสร็จแต่ก็ยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้รถขนส่งน้ำมันอยู่ ซึ่งในอนาคตบริษัทจะรับจ้างขนส่งน้ำมันให้กับผู้ค้าน้ำมันรายอื่นด้วย จากปัจจุบันใช้ขนส่งไปยังสถานีบริการน้ำมันของพีทีจีเท่านั้น