วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ลงทุนแบบ Value เป็นอย่างไร เวลานี้เหมาะจะลงทุนหรือยัง ?

updated: 28 ต.ค. 2557 เวลา 14:00:07 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
คอลัมน์ จับช่องลงทุน โดย ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ Dr.win@one-asset.com
สวัสดีครับ ในช่วงนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวกันอย่างผันผวนนะครับ หลักๆ คงหนีไม่พ้นแรงกดดันจากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลาง สหรัฐ ความเสี่ยงด้านการเมืองเชิงภูมิศาสตร์ระหว่างประเทศ (Geopolitical Risk) โดยเฉพาะรัสเซียและยูเครนที่อาจบานปลายกระทบถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซีย ต่อสหรัฐฯและยุโรปได้ รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกที่แม้ว่าประเทศต่างๆ มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถผลักดันให้เติบโตในลักษณะของ V-Shape ได้

ซึ่งทำให้ผมมองว่าหากจะจับจังหวะการลงทุน (Market Timing) ในช่วงเวลานี้คงเป็นไปได้ค่อนข้างยากครับ จากลักษณะการลงทุนดังกล่าว ทำให้ผมมองว่าการลงทุนอีกหนึ่งแนวทางที่น่าสนใจ ได้แก่ การลงทุนโดยใช้แนวทางการคัดเลือกหุ้นแบบ Value Style ที่มุ่งเน้นคัดเลือกหุ้นที่มีราคาตลาดค่อนข้างต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง เพื่อบอกถึงหุ้นยังคงมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นไปอยู่ในระดับมูลค่าหุ้นหรือราคาหุ้นที่เหมาะสมได้ โดยสิ่งที่ผู้จัดการกองทุนพิจารณา ได้แก่ การวิเคราะห์เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐาน ทั้งแนวทางการสร้างรายได้และกระแสเงินสดของการดำเนินการ เช่น การวิเคราะห์งบการเงิน และแนวโน้มอัตราการเติบโตของบริษัทต้องแข็งแกร่งและสม่ำเสมอ เพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นนั้นๆ ภายใต้กระบวนการวิเคราะห์ที่เหมาะสม และคัดเลือกหุ้นที่ลงทุนในหุ้นที่ประเมินแล้วว่าราคาหุ้นในขณะนั้นยังอยู่ ต่ำกว่าราคาที่เหมาะสม และยังมีโอกาสเติบโตได้อีก และทยอยลงทุนสะสมในช่วงที่ราคาเริ่มปรับตัวลงใกล้แตะระดับต่ำสุด (ช่วง Bargaining List) และถือครองหุ้นดังกล่าวจนกระทั่งราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น (ช่วง Core List) รวมทั้งทยอยขายหุ้นออกไปเมื่อราคาหุ้นเริ่มแตะระดับราคาที่ใกล้เคียงกับราคา ที่เหมาะสมของหุ้นนั้น (ช่วง Sources of Fund List) และพยายามค้นหาหุ้นใหม่เพิ่มเติมเพื่อสร้างโอกาสการลงทุนต่อไป โดยการเลือกหุ้นในลักษณะนี้จะเป็นการพิจารณาในลักษณะมูลค่าหุ้นอย่างแท้จริง ไม่ใช่การจับจังหวะเวลาของตลาด

อย่างไรก็ดี การเลือกหุ้นในลักษณะของ Value Style นั้น ในช่วงเวลาที่หุ้นปรับตัวลดลงนั้น สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนต้องให้ความใส่ใจ คือ การอดทนรอเพื่อให้ราคาหุ้นนั้นปรับตัวสูงขึ้น (Patience) ซึ่งจากสถิติของกองทุน Templeton Global Fund ซึ่งเป็นกองทุนภายใต้การบริหารจัดการของ Franklin Templeton Investment Funds ที่เน้นลงทุนในหุ้นทั่วโลกที่ได้ยึดหลักการบริหารจัดการนี้ก็ได้แสดงให้เห็น ว่า การลงทุนในลักษณะนี้คุ้มค่าต่อการอดทนและรอการฟื้นตัวของราคาหุ้นครับ โดยจะเห็นได้จากในช่วงปี 2009-2011 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในยุโรป ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มยุโรปปรับตัวลดลง และเป็นจังหวะที่กองทุน Templeton Global Fund เข้าไปสะสมหุ้นยุโรป ซึ่งในช่วงดังกล่าวกองทุนให้ผลตอบแทน 31.90%, 6.67% และ -10.50% (Calendar Year) โดยต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้วัดผลการดำเนินงานกองทุน คือ MSCI All Country World Index ที่ให้ผลตอบแทน 35.41%, 13.21% และ -6.86% ในช่วงเวลาเดียวกันตามลำดับ

อย่างไรก็ดี หลังจากที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว กองทุนดังกล่าวก็สามารถพลิกกลับมาให้ผลตอบแทนที่ชนะเกณฑ์มาตรฐานได้ในช่วงปี 2012-2013 ที่ 21.70% และ 34.92% ตามลำดับ เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ให้ผลตอบแทน 16.80% และ 23.44% ตามลำดับ

ผมมองว่า ระยะเวลาที่เหมาะสมต่อการลงทุนสำหรับ Value Style จะอยู่ที่ประมาณ 3-5 ปี เพื่อให้ราคาหุ้นสามารถปรับตัวผ่านพ้นช่วงจังหวะเวลาที่ปรับลดลงและก้าวเข้าสู่การฟื้นตัวของราคาหุ้น

ผมคิดว่าการลงทุนในลักษณะนี้ยังมีข้อดีอีกหนึ่งประการ คือ นักลงทุนไม่จำเป็นต้องจับจังหวะการลงทุนตามสไตล์ของ Market Timing ทำให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจลงทุนได้สะดวกสบายกว่า เนื่องจากไม่ต้องติดตามตลาดอย่างใกล้ชิดเหมือนกับการลงทุนแบบการจับจังหวะ เวลา และไม่จำเป็นต้องรอคอยให้ตลาดปรับฐานย่อตัวลงเพื่อเข้าลงทุน เนื่องจากการคัดเลือกหุ้นลักษณะนี้จะมุ่งเน้นแบบการวิเคราะห์จากปัจจัยพื้น ฐานของหุ้นแต่ละหุ้น (Bottom-Up) ซึ่งแสดงถึงราคาหุ้นที่เหมาะสมในอนาคต ไม่ได้อิงกับภาพรวมในเชิงมหภาค และโดยส่วนใหญ่การลงทุนในลักษณะนี้จะลงทุนในบริษัทที่มีผลตอบแทนผู้ถือหุ้น ที่คาดหวัง (Expect Return in ROE) ของแต่ละบริษัทที่ลงทุนค่อนข้างสูง ซึ่งในส่วนของ Templeton เองก็ตัดสินใจลงทุนในหุ้นที่มี ROE ประมาณ 10-15% ซึ่งทำให้ในระยะยาวกองทุนก็จะได้รับประโยชน์ผลตอบแทนผู้ถือหุ้นในระดับสูง นี้ด้วยเช่นกัน

แนวคิดกลยุทธ์การเลือกหุ้นดังกล่าว รวมทั้งแนวโน้มของเศรษฐกิจที่อยู่ในระหว่างการฟื้นตัว ทำให้การลงทุนในหุ้น Global Value ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2557

EFORL

ควบรวม วุฒิศักดิ์คลีนิก จริงหรือ

ข้อมูลเบื้องต้นของวุฒิศักดิ๋คลีนิก

สำหรับ ปี 55 วุฒิศักดิ์คลีนิกรายงานต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าสรุปได้ดังนี้

สินทรัพย์                      2,866.484   ล้านบาท
หนี้สิน                          2,297.103   ล้านบาท
ส่วนของผู้ถือหุ้น               569.381   ล้านบาท
รายได้รวม                    2,884.879    ล้านบาท
กำไรสุทธิ                        594.360   ล้านบาท

P/BV ของบริษัทกลุ่มโรงพยาบาล

- BGH = 7.31, VIBHA = 4.87, SKR = 6.10, TNH = 4.50, BH= 10.36, VIH = 6.14


ถ้า EFORL ต้องการควบรวมกิจการวุฒิศักดิ์คลินิก โดยใช้ P/BV อ้างอิงตลาด สมมุติว่าใช้ P/BV เท่ากับ 4.50 เท่า ซึงเป็นค่าที่น้อยที่สุดแล้ว คงต้องใช้เงินหรือเทียบเท่าไม่น้อยกว่า 569.381*4.50 = 2,562 ล้านบาท หรือ ถ้าใช้เกณฑ์ PER โดยค่า PER ของกลุ่มโรงพยาบาลทุกแห่งไม่น้อยกว่า 30 เท่า ดังนั้นเงินที่ต้องจ่ายเพื่อวุฒิศักดิ๋อาจสูงถึง 594.360*30 = 17,831 ล้านบาทเลยทีเดียว

ดังนั้นถ้าจะควบรวมกันจริงๆ EFORL คงต้องมีการเพิ่มทุน แล้วทำการแลกหุ้น เพราะแม้ว่า EFORL จะมีมูลค่าตลาดสูงถึง 16,560 ล้านบาท ที่ราคาหุ้น 1.80 บาทก็ตาม แต่ไม่มีเงินขนาดนั้น

และถ้า วุฒิศักดิ์ต้องการเข้าตลาด ก็สามารถเข้าเองได้โดยไม่ต้องผ่าน EFORL

----------------------------------------------------------------------------
'อีฟอร์แอลฯ'ปิดดีลซื้อ'วุฒิศักดิ์คลินิก' 4.5 พันล.

วันพุธที่ 17 กันยายน 2014 เวลา 05:49 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ

อี ฟอร์ แอล เอมมาตามนัด ปิดแล้วดีลเทกโอเวอร์"วุฒิศักดิ์คลินิค"ที่ 3.5 พันล้านบาท พร้อมดึงพันธมิตรร่วมถือหุ้น มั่นใจศักยภาพ เป็นธุรกิจที่โดดเด่นมีสาขาครอบคลุม 120 สาขา แถมมีแฟรนไชส์ในประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมผงาดรับเปิดเออีซี ดันรายได้ธุรกิจความงามโตควบคู่ธุรกิจหลักขายเครื่องมือแพทย์

นายธีรวุทธิ์ ปางวิรุฬห์รักข์ ประธานเจ้าหน้าที่บร ิหาร บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน)(EFORL) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้บริษัทเข้าซื้อหุ้นของบริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์ กรุ๊ป จํากัด (WCIG) ซึ่งประกอบธุรกิจให้คําปรึกษาและตรวจรักษาปัญหาด้านผิวพรรณและลดกระชับสัดส่วน ในสัดส่วน 100% ผ่านบริษัทย่อยที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ ด้วยมูลค่าซื้อขายทั้งสิ้นประมาณ 3,5 พันล้านบาท 

ทั้งนี้บริษัท อี ฟอร์ แอลฯ จะเข้าถือหุ้นในบริษัทย่อยสัดส่วน 60 % ส่วนที่เหลืออีก 40 %จะเป็นการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายเดิม ได้แก่ นายณกรณ์ กรณ์หิรัญ นายพลภัทร จันทร์วิเมลือง และนายวุฒิศักดิ์ ลิ่มพานิช โดยถือหุ้นบริษัทย่อยในสัดส่วน 25 % และอีก 15 %ถือหุ้นโดยกองทุนซึ่งจัดตั้งและบริหารโดย Solaris Asset Management Company Limited 

สำหรับบริษัทย่อยที่จะไปลงทุนซื้อบริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก ฯนั้น จะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วรวมส่วนเกินทุนเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 2.5 พันล้านบาท ซึ่งบริษัท อี ฟอร์ แอลฯถือหุ้นในสัดส่วน 60 %ต้องใช้เงินลงทุนจำนวน 1.5 พันล้านบาท โดยเงินส่วนนี้บริษัทอี ฟอร์ แอลฯ จะกู้เงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศ ไม่จำเป็นต้องมีการเพิ่มทุน และ/หรือ ดำเนินการอื่นใดที่ส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นบริษัท อี ฟอร์ แอลฯในปัจจุบัน เนื่องจากบริษัทอี ฟอร์ แอลฯ เป็นบริษัทที่ไม่มีภาระหนี้สิน และอยู่ในข่ายที่สถาบันการเงินให้การสนับสนุนได้ 

"ถือเป็นนวัตกรรมการซื้อขายกิจการรูปแบบใหม่ที่ทันสมัยสำหรับตลาดทุนไทย ที่ไม่ทำให้เกิดผลกระทบ Dilution Effect ต่อส่วนของผู้ถือหุ้น" 

นายธีรวุทธิ์ กล่าวและว่า การซื้อกิจการครั้งนี้ยังเป็นผลดีทำให้บริษัท อี ฟอร์ แอลฯได้ธุรกิจเข้ามาเพิ่มเป็นการสร้างการเติบโต สร้างความแข็งแกร่งให้แก่บริษัท ทั้งในด้านทรัพย์สินและรายได้ตลอดจนการรุกเข้าสู่ธุรกิจที่มีการเติบโตสูง โดยบริษัทจะได้รับประโยชน์จากการขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและส่งเสริมกัน ซึ่งจะทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น เริ่มตั้งแต่ผู้ใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปจนถึงผู้เข้ารับบริการเสริมความงาม 

ทั้งนี้บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก ฯประกอบกิจการสถานพยาบาลประเภทคลินิกเวชกรรมไม่รับผู้ป่วยไว้ค้างคืน โดยเน้นให้บริการคําปรึกษาและตรวจรักษาปัญหาด้านผิวพรรณและลดกระชับสัดส่วนภายใต้ชื่อ "วุฒิศักดิ์คลินิก" มีสาขารวม 120 สาขา ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ปริมณฑลและต่างจังหวัด นอกจากนี้ ยังมีการให้บริการในลักษณะแฟรนไชส์ ในสปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม และเมียนมาร์ รวม 11 สาขา อีกทั้งเป็นการรองรับเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี)

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557

CCN

ข้อมูลเบี้องต้นสำหรับการเสนอขายหุ้นครั้งแรก (IPO)



สรุปรายได้และกำไรสุทธิ
หน่วย : ล้านบาท

                  6M57      6M56                56              55              54            53             52          51
รายได้       88.634      55.262       218.655      225.686       189.631    186.846     156.640  195.847  
กำไรสุทธิ    8.639        4.047         15.562        14.129         6.619       16.979         7.554     7.321

การเสนอขาย

จำนวนหุ้นที่เสนอขาย               60.000 ล้านหุ้น
มูลค่าที่ตราไว้                            0.50 บาท
จำนวนหุ้นหลังการเสนอขาย    230.000 ล้านหุ้น   
ราคาที่เสนอขาย                        1.25 บาท

กำไรสุทธิต่อหุ้น ( 12 เดือนสิ้นสุด 30 มิ.ย.57 โดยใช้จำนวนหุ้นหลังการเสนอขายคำนวณ)
                                       = (15.562-4.047+8.639)/230 = 0.0876 บาท

PER at IPO Price = 1.25/0.0876 = 14.27 

เปรียบเทียบ PER ของบริษัทในตลาด 

MFEC ณ 28/8/57 เท่ากับ 15.0 เท่า
MSC   ณ 28/8/57 เท่ากับ 8.73 เท่า

------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุผู้เขียน

จากข้อมูลเบี้องต้น จึงมีคำถามว่า แล้วถ้าสนใจหุ้นกลุ่มนี้ จะเลีอกตัวไหน ระหว่าง MFEC, MSC หรือ CCN

-----------------------------------------------------------------------------

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เช็ค "ชีพจร" ทีวีดิจิทัล ใครโคม่ากว่าใคร...!"

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 25 สิงหาคม 2557


เกมสะกดสายตาคนดูทีวีดิจิทัล "ไม่หมู" เมื่อเรทติ้งดิ่งสวนทางทุน เวลานี้ใครอาการหนักกว่ากัน

1 เม.ย.2557 ประวัติศาสตร์ภูมิทัศน์สื่อโทรทัศน์ไทยถูกเปลี่ยนผ่านจากระบบการออกอากาศแบบอนาล็อก เป็น "ทีวีดิจิทัล" หรือ DTT:Digital Terrestrial Television ล่วงเลยเกือบ 4 เดือน ธุรกิจยัง "ฝุ่นตลบ" เรทติ้งวิ่งขึ้นพรวดชั่วคราวจากคอนเทนต์ระดับ "Super King" อย่าง "ฟุตบอลโลก 2014"
ทว่าบางค่ายก็ออกมา "ห้ามเลือด" ปฐมพยาบาลธุรกิจโดยการขายหุ้นกิจการ "เพย์ทีวี" หาทาง "รอด" ท่ามกลาง "ต้นทุน" ธุรกิจทีวีดิจิทัลที่ลงทุน "มหาศาล" แต่ "นาน" กว่าจะ "คุ้มทุน"
หลายค่ายออก "สตาร์ท" ก่อนใคร มีคอนเทนต์เท่าไหร่ ใส่ไม่ยั้งให้คนดูติดตามช่องนี้ไม่หนีไปไหน
และอีกหลายค่ายที่รอหัวเราะทีหลัง ก่อน "ปล่อยหมัดเด็ด" เรียกเรทติ้ง
ที่แน่ๆ ผลของมหกรรมการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 กีฬาแห่งมวลมนุษยชาติตั้งตาคอย ที่บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ได้สิทธิ์ถ่ายทอดสด 64 แมตช์ ให้ผลบวกแก่เจ้าของชนิดที่เรียกเรทติ้งบนจอแก้วเดือนมิ.ย.พุ่งขึ้น 300% เป็น "ผู้นำ" จาก 24 ช่อง ที่แข่งขันในสมรภูมิทีวีดิจิทัลในขณะนั้น
"ฟีดแบ็คด้านเรทติ้ง สำเร็จเหมือนที่คิด ไม่ได้มากหรือน้อยกว่า..เหมือนที่คาดการณ์ว่าช่อง 8 จะถูกขับเคลื่อนทั้งยูนิเวิร์ส ขึ้นเป็นท็อปไฟว์ (Top5) ในทุกแพลตฟอร์มของอุตสาหกรรมจอแก้ว แต่เราอยู่ในตำแหน่งท็อปทรี (Top3) ซึ่งถือว่าก้าวกระโดด และอยู่ไล่เลี่ยกันทั้งช่อง 5-9 และช่อง 8 เรทติ้งเฉลี่ยเท่าๆ กัน จากเดิมทั้งยูนิเวิร์สเราอยู่ที่ 7-8" ผลงานขั้นต้นจากปากแม่ทัพ "องอาจ สิงห์ลำพอง" ผู้อำนวยการสายงานโทรทัศน์ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 ทีวีดิจิตอล
องอาจ ยังอ่านเกมจอแก้วว่า แค่ยกแรกของทีวีดิจิทัล หลายค่ายยัง "แทงกั๊ก" คอนเทนต์ เห็นจากผังรายการ กว่าที่แต่ละค่ายจะขยับมาเปิดตัว ล้วนรอให้พ้นแมตช์ฟาดแข้งสำคัญอย่างฟุตบอลโลก ผ่านพ้นไปก่อน
"เพราะทุกคนเชื่อว่าบอลโลกจะแรง ซึ่งก็แรงตามที่ทุกคนคิด พอจบบอลโลกทุกคนก็เริ่มเล่น เริ่มแถลงข่าว หลังจากเห็นค่ายอื่นชัดขึ้น แต่อย่างที่บอกว่า 24 ช่องยังไม่ปล่อยของออกมาหมด ไม่ปล่อยคอนเทนต์ออกมาจริงๆ หลายคนรอให้ช่อง 8 กับเวิร์คพอยท์ปล่อยของมาก่อน วันนี้ช่อง 8 ออกตัวไปก่อนแต่นั่นเป็นกลยุทธ์ของเราอยู่แล้ว ที่ต้องการเป็น Leader (ผู้นำ) ก็ต้องช่วงชิงคนดูและเรทติ้งก่อน" เขาบอก
ขณะที่ช่อง 8 ของอาร์เอส เล่นบททัพหน้าระเบิดศึกจอแก้วบนแพลตฟอร์มใหม่ "ทีวีดิจิทัล" เป็นรายแรกๆ เมื่อเทียบกับหลายค่ายที่ยังไม่ปล่อยของแบบจัดเต็ม
อาการแทงกั๊กนี้เอง ที่องอาจมองว่า จะทำให้ "ความน่าสนใจ" ของทีวีดิจิทัล 24 ช่องลดน้อยถอยลง
"เหมือนผู้บริโภคเปิดไปปุ๊บไม่เห็นมีอะไรในดิจิทัลทีวี ก็กลับไปที่เดิมดูทีวีอนาล็อกเหมือนเดิม" องอาจ วิเคราะห์
"หลายค่ายรอให้ Mux (ใบอนุญาตโครงข่าย) โน่นนั่นนี่ขยับ กว่าสิ่งเหล่านั้นจะขยับพี่ว่าเราจะตายก่อน ในมุมของเรามีอะไรก็ใส่ไป อาจจะไม่ 100% เต็มที่ แต่ก็ใส่เต็มกำลังตามแผนธุรกิจ"
เราไม่ได้ทำธุรกิจจากความพร้อมของคนอื่น !! เขาเผย
แม้อาร์เอสจะจัดหนัก แต่ปัจจุบันป้อนรายการไป 70% เท่านั้น Full scale 100% คงต้องชมกันในปี 2558 องอาจระบุ
"ปีหน้าผังรายการอาจเห็น 90-100% ซึ่งยังไม่แน่เพราะต้องขึ้นอยู่กับการแข่งขัน ถ้าแข่งสูงก็อาจจะปรับให้เต็มสตรีม 100% และการลงทุนอาจเพิ่มขึ้น 30% จากปัจจุบันบริษัทลงทุน 300-400 ล้านบาท"
สังเวียนศึกชิง eye ball (ผู้ชม) วัดกันที่คอนเทนต์ ฟุตบอลโลกก็เป็น "Content is Super King" ครั้นจบเกมกีฬา อาร์เอสก็พลิกกลยุทธ์ เฟ้นคอนเทนต์ใหม่ๆ มาเสริมอีก 10% จากที่มีทั้งรายการวาไรตี้ ละคร ข่าว และกีฬา
ด้วยฐานคนดูหลักของช่อง 8 เป็นบรรดาผู้หญิงและแม่บ้าน แต่บอลโลกดึง eyeball จากคุณผู้ชายทั้งหลายให้กดรีโมตมาที่ช่อง 8 มากขึ้น จึงต้องหาคอนเทนต์แมนๆ เอาใจผู้ชาย ทั้งการนำฟุตบอลลาลีกา สเปน ฤดูกาล 2014-2015 มาออกอากาศ 3-4 แมตช์ต่อสัปดาห์ รายการ "มวยดัง 8 ทิศ" ที่ถ่ายทอดสดทุกวันเสาร์เวลา 16.00-18.00 น. จากเวทีมวยลุมพินี รามอินทรา กม.2 เป็นต้น
เขาบอกด้วยว่า ต้องการขยายฐานคนดูไปยัง "เด็กและเยาวชน" มากขึ้น จึงคัดสรรหาคอนเทนต์ที่เด็กดูได้ วัยรุ่นดูดี มาเสริมทัพ ซึ่งจะช่วยปรับสัดส่วนฐานคนดูให้ "สมดุล" เป็นหญิง 60% และชาย 40% ในไตรมาส 4 จากปัจจุบันคนดูเป็นหญิง 70% และชาย 30%
ขณะที่สัดส่วนคอนเทนต์ปัจจุบันเป็นรายการวาไรตี้ 30% ข่าว 25% ละคร 25% กีฬา 20%
องอาจ ยังวิเคราะห์เกมจอแก้วอีกว่า แม้ตอนนี้ทีวีดิจิทัลจะ "ฝุ่นตลบ" กว่าทุกอย่างจะเข้าที่น่าจะลากยาวไปอีก 2-3 ปี ถึงวันนั้นจะเห็นการ "ล้มหายตายจาก" ของบางค่ายในวงการโทรทัศน์ด้วย
"คงไม่มีใครคิดจะไปหรอก แต่สุดท้าย ธรรมชาติของการทำธุรกิจมันจะบอกเราเองว่า ใครจะตาย!! ใครจะโดนรถชน หรือขับรถอยู่ดีๆมีคนขับรถมาชนเราปึ้ง!!" เขาเปรียบเทียบ
สายป่านยาว ทุนหนา..หาใช่คำตอบของธุรกิจทีวีดิจิทัล เพราะต้องยอมรับว่าการเกิดรายการโทรทัศน์ใหม่ถึง 24 ช่องถือว่า "มาก" แต่หากคับคั่งด้วย "คุณภาพ" ก็อาจไม่เยอะ
ทว่า...ความจริงเวลานี้คือผู้ประกอบการ "แบก" ต้นทุนประมูลที่สูงลิ่ว รวมกับค่าบริหารจัดการ ค่าคอนเทนต์ที่พุ่งปรี๊ด และค่า Mux รวมๆแล้วหนักเอาการ แต่ผลตอบแทน โดยเฉพาะค่าโฆษณากลับต้องขาย "ยกโหล" เป็นแพ็คเกจ "พ่วง" ทั้งสื่อออนไลน์ สิ่งพิมพ์ และทีวี ไม่ใช่ขายแบบโขกราคาตามช่วงเวลาไพร์มไทม์หรือนอนไพร์มเหมือน 6 ช่องทีวีอนาล็อก
"สายป่านยาว-สั้นเป็นเรื่องการทำธุรกิจ ถ้าคิดว่าสายป่านยาว มาทำธุรกิจแล้วเจ๊ง ไปทำอย่างอื่นดีกว่าไหม ในมุมคนทำธุรกิจคิดแบบนี้อยู่แล้ว ต่อให้เงินทุนหนาแค่ไหน แต่ไม่ได้ผลกำไรจะทำไปทำไม ไปทำอย่างอื่นดีกว่า จริงๆ แล้วผู้ประกอบการต้องโฟกัสให้ชัดก่อนว่าคิดอยากจะทำธุรกิจนี้ตั้งแต่แรกหรือเปล่า เข้าใจธุรกิจสถานีโทรทัศน์มากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่มีความรู้แบบนั้นไม่ควรเข้ามาตั้งแต่แรก"
วันนี้อุปสรรคของทีวีดิจิทัลไม่ใช่แค่หาทาง "คืนทุน" ให้ได้ แต่โจทย์ใหญ่คือทำอย่างไรจะ "ตรึง" คนดูให้อยู่กับช่องได้นานที่สุด
"โจทย์เราคือ คุณไม่ได้ดูทีวี 24 ชั่วโมง แต่ 23 ชั่วโมงคุณต้องดูช่อง 8"
++"แกรมมี่" ดึงสรรพกำลังสู่ช่อง one
มาที่ฟาก "แกรมมี่" ที่บอกเลิกผลิตละครหลังข่าวป้อนสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 นำละครเก่ามารีรัน "เพราะวันหนึ่งช่อง 5 ก็ต้องทำหน้าที่เป็นทีวีสาธารณะมีละครตบตีเห็นทีจะไม่เหมาะ"
คำกล่าวของ "ถกลเกียรติ วีรวรรณ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จีเอ็มเอ็ม ดิจิทัลทีวี ช่อง one จากค่ายยักษ์ใหญ่แกรมมี่ เผยเข็มทิศทีวีดิจิทัล "ช่อง one"
"ละครทำรายได้หลัก แต่ปีนี้ขาดทุน" เขาเล่า ก่อนขยายความว่า ปกติละครหลังข่าวทางช่อง 5 ของแอ็กแซ็กท์ก็ไม่มีโฆษณาเต็มทั้ง 5 วันอยู่แล้ว ส่วนรายการที่ป้อนให้กับช่อง 3 ยังคงอยู่
"ตราบใดที่เขา (ช่อง3) ยังอยากได้เรา"
การตัดสินใจถอดละครออกจากช่อง 5 นอกจากจะช่วยลดต้นทุนกว่า 70 ล้านบาทแล้ว ยังจะเป็นการทุ่มสรรพกำลัง ลงทุนผลิตคอนเทนต์ป้อนช่อง one ไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท เพื่อออกอากาศในเฟสแรกช่วงเวลา 17.00-20.00 น. ระดมทั้งข่าว มีทีมงานจาก "นารากร ติยายน" มาเป็นแม่เหล็กแย่งคนดู รายการซุป'ตาร์ ปาร์ตี้ ดีกรีรายการดังต่างประเทศ เรื่องราวในรอบ 10 ปีเดอะ สตาร์ซิทคอม "เพราะมีเธอ" ดึงพระนางคู่ขวัญในอดีต "แท่ง-แหม่ม" (ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง-คัทลียา แมคอินทอช) มาเรียกเรทติ้ง
"ชีวิตนี้ต้องมีการลงทุน แต่ต้องไม่หลับหูหลับตา และการทำช่อง one เป็นการลงทุนเพื่ออนาคต" ถกลเกียรติ บอก
"ละคร" คอนเทนต์กระชากเรทติ้งให้ทุกช่อง ถกลเกียรติบอกว่า ผลิตแล้วแต่ยังไม่ปล่อยของออกมาเท่านั้น
"สถานการณ์ธุรกิจทีวีดิจิทัลต้องดูทุกวัน เพราะเปลี่ยนแปลงวันต่อวัน เหมือนไก่กับไข่ คนดูจะดูยังไง ถ้าไม่มีคอนเทนต์ คอนเทนต์ไม่ทำ เพราะรอคนดู มีของหรือไม่มีเงินจะซื้อของ(โฆษณา)หรือไม่ซื้อเป็นการพูดกับเอเยนซี่ ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกอย่างเป็นต้นทุน ต้องรอคอย ดูสถานการณ์รอบตัวในความเปลี่ยนแปลง"
นั่นเป็นที่มาว่าไม่รู้เมื่อไหร่ช่อง one จะมีคอนเทนต์สดใหม่ออกอากาศเต็มแม็กซ์
"full scale ของช่องเมื่อไหร่ตอบไม่ได้" โจทย์นี้เลยเกิด “เทรนด์” การรับชมรายการทางจอแก้วในอนาคต "Re-run" จะกลายเป็นความ "คุ้นชิน" ของคนดู เพราะการมีสถานีโทรทัศน์หลากช่อง เป็นเงื่อนไขให้เกิดการนำคอนเทนต์มาออกอากาศซ้ำ เพราะหากรายการใหม่ทำเงินไม่ได้ สู้ดูรายการเก่าที่เจ๋งๆ ดีกว่า
"ทีวีมีช่องมากขึ้น ดีมานด์มากขึ้น แต่ไม่ได้บอกว่าผู้ผลิตดีจะเพิ่มขึ้นนะ" เขาย้ำ
"โฆษณา" มูลค่ากว่า "แสนล้านบาท" ที่ทุกค่ายจ้องแบ่งเค้ก แต่การสร้าง "รายได้" ส่วนนี้ ทุกค่ายกำลังเผชิญชะตากรรมเดียวกัน คือขายยกแพ็คเกจ ซึ่งช่อง one ตั้งราคาที่ 5-8 แสนบาท "สุรพล พีรพงษ์พิพัฒน์" กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการตลาดและการขาย ช่อง one บอกว่า
"การขายโฆษณาเป็นนาทีไม่ใช่ทางของเรา" ดังนั้นการจะทำให้รูปแบบการทำเงินคล้ายกับทีวีอนาล็อกต้องรอให้รายการตั้งไข่และอยู่ได้ด้วยตัวเองก่อน
แกรมมี่วางตำแหน่งแบรนด์ (Brand Positioning) ช่อง one เป็น "บันเทิง" เจาะตลาดแมส เข้าถึงคนดูทุกพื้นที่ จึงงัดคอนเทนต์เด็ดทั้งละคร วาไรตี้ ซิทคอม ข่าว มาตอบโจทย์ผู้ชมทุกยุคทั่วโลก
และนั่นเป็น "จุดแข็ง" ที่ช่อง one การันตีตัวเอง "สุรพล"เผย
"เราจะใช้จุดแข็งคือซิทคอม วาไรตี้ เกมโชว์ รายการจากต่างประเทศ ที่ฟอร์แมตเหล่านั้นถูกพิสูจน์ความสำเร็จมาแล้ว และเราทำฟรีทีวีมาก่อน เห็นหมดว่ารายการอะไรตอบโจทย์คนดู"
แม้คอนเทนต์เฟสแรกที่ออกอากาศ first run จะเป็นเวลาสั้นๆ 3 ชั่วโมงตั้งแต่ 17.00-20.00 น. แต่ก็เป็นจังหวะของ "ไพร์มไทม์" ซึ่งมีสัดส่วนคนดูมากสุดกว่า 70%
"ฮอร์โมนวัยว้าวุ่นซีซั่น 2" ซีรี่ส์โดนใจวัยรุ่นที่กระแส "แรง" ต่อเนื่องจากภาคแรก เดิมบริษัทตั้งใจจะไม่นำมาออกอากาศทางช่อง one ขออยู่แค่ช่อง GTH ON AIR เพราะหวั่นกฎกติกาการ "เซนเซอร์" ทว่า..สุดท้ายก็ต้องนำมาใช้เรียกเรทติ้งคนดูปูสู่การดูดเม็ดเงินโฆษณา 6.9 หมื่นล้านบาท
ช่อง one ยังผนึกกับเพย์ทีวี โดยแชร์คอนเทนท์บางส่วนมาออกอากาศ เว้นแต่ที่เป็น Exclusive
เพิ่ง Kick off เฟสแรกอย่างเป็นทางการเมื่อ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา อาจช้ากว่าคู่แข่ง แต่เขาแย้งว่านำหน้าค่ายอื่น 2-3 ราย
"เริ่มเร็วไปไม่ดี ลองไปถามดูสิ เปิดตัวไปก่อนได้อะไรไหม ดิจิทัลทีวีมีแค่นี้เองเหรอ ธุรกิจไม่เดิน ฟรีทีวีก็ไอซียู ฉะนั้น The right time, the right content จะทำให้การขับเคลื่อนธุรกิจได้ดีที่สุด" เขาวินิจฉัยอาการธุรกิจทีวีดิจิทัล
"อุตสาหกรรมฟรีทีวี (อนาล็อก) เงินหายไปอยู่แล้ว แต่สิ่งสำคัญคือทุกคนเจ็บตัวหมด"
โดยปัจจุบันแกรมมี่ยังแบกขาดทุนในการดำเนินธุรกิจ อาการนี้ทำให้เขาประเมินการคืนทุนจากทีวีดิจิทัลว่าจะใช้เวลา 5-8 ปี ทั้งช่องวาไรตี้เอชดี และเอสดี
พร้อมประเมินว่า 3 ปีจากนี้จะเห็นว่าใครจะอยู่ ใครจะไป
"ใช้คำว่าเจ๊งเลย แต่อาจมีการหาวิธีอื่นเพื่ออยู่ต่อในอุตสาหกรรม"
ที่ผ่านมาจะเห็นทุนใหญ่อย่างแกรมมี่ "ห้ามเลือด" ด้วยการเฉือนธุรกิจเพย์ทีวีออกไป โดยแลกหุ้น (SWAP) กับบมจ.ซีทีเอช เพื่อลดการเปิดศึกรอบด้านให้ตัวเองด้วยทั้งทีวีดิจิทัลและเพย์ทีวีที่การแข่งขันระอุ!!
การพยุงตัวเองให้รอดไม่หยุดแค่นั้น สุรพลแย้มว่า 4 ช่องที่ออกอากาศบนทีวีดาวเทียมในขณะนี้ น่าจะเตรียมบอก "เลิก" ธุรกิจในอนาคต
ธุรกิจย่อมมีเป้าหมาย การชิงชัยของช่อง one ถกลเกียรติบอกว่า..
“เป้าหมายสูงสุดคือเป็นช่องที่ต้องดูดี คนดูทุกวัน ทั้งวัน”
++new tv เรทติ้งไม่ขี้เหร่
มาถึงช่อง new tv ที่ดีเดย์ผังรายการเต็มรูปแบบเมื่อ 1 ส.ค.2557 สำหรับค่ายสื่อสีบานเย็นอย่าง "เดลินิวส์" ที่การเปิดตัวแม่ทัพน้อยใหญ่ตบเท้าประกาศความยิ่งใหญ่ นำทีมโดย "ประภา เหตระกูล ศรีนวลนัด" ประธานที่ปรึกษา "ปารเมศ เหตระกูล"กรรมการบริหาร "ปารวดี เหตระกูล" กรรมการบริหาร และ "ภาณุชัย เหตระกูล ศรีนวลนัด" กรรมการบริหาร บริษัท ดีเอ็น บรอดคาสท์ จำกัด ในเครือสี่พระยาการพิมพ์
แม้นำร่องรายการ “สารคดี” ออกอากาศไม่เต็ม 100% แต่ผลตอบรับเรทติ้งติดอันดับ 3 ในกลุ่มทีวีดิจิทัล ถือว่าไม่ขี้เหร่ คำบอกเล่าของ "ภาณุชัย" ผู้อำนวยการสถานี new tv ช่อง 18
เงิน 5,000 ล้านบาท สำหรับการลงทุนตลอด 15 ปี งบก้อนโตสุดของค่ายสีบานเย็นในรอบ 50 ปี ครั้งนี้มีเป้าหมายแย่ง eyeball ติดท็อปไฟว์ภายใน 3 ปี
ประภา เล่าเหตุผลถึงการขยับตัวครั้งใหญ่ แตกไลน์สู่ธุรกิจทีวี เพราะยุคนี้ "ความเร็ว" ต่อสถานการณ์สำคัญกับผู้บริโภค เหตุการณ์เกิดปุ๊บต้องรายงานได้ปั๊บ
ต่างจากสิ่งพิมพ์ที่ต้อง "รอ" กว่าข้อมูลข่าวสารจะถึงผู้บริโภค
ส่วนการใช้แบรนด์ “new tv” เพราะตอบโจทย์ "ใหม่" เป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่ต้องการ เช่นเดียวกับกลุ่มเป้าหมายหลักขอโฟกัสไปที่คนเมืองในวงกว้าง (Urban mass) ผู้ชื่นชอบความใหม่ และฉีกตัวออกจากภาพเดลินิวส์ หนังสือพิมพ์ที่คนส่วนใหญ่ “ยึดติด”
การออกตัวช้าไม่มีผลต่อการแข่งขันของ new tv "ปารวดี" บอกว่ามีมืออาชีพร่วมงานทั้ง "ปณิธี เปลี่ยนชีวิน" ผู้อำนวยการฝ่ายขายและโฆษณา "ตรีเทพ ไทยคุรุพันธ์" ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์รายการ "สัตตกมล วรกุล" นำทีมฝ่ายข่าว ผนวกกับงบ 50 ล้านบาท ที่จัดหนักด้านกิจกรรมการตลาด สร้างแบรนด์ new tv ผ่าน line application พิมพ์ "นิว108" หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์แจกฟรี 4 แสนฉบับต่อวัน ไว้สื่อสารกับคนดู มีดิจิทัลสกรีน ทั่วกรุง รถสายส่งที่เป็นสื่อเคลื่อนที่เกื้อการสร้างแบรนด์
ที่สำคัญการดึงพันธมิตรมาร่วมงานผลิต "รายการ" เพราะบุคคลดังมีฐานแฟนคลับบนโลกออนไลน์ โซเชียลเน็ตเวิร์ค จะช่วยดึง eyeball ได้
"พันธมิตรที่ร่วมงานผลิตรายการ ต่างมีฐานแฟนคลับแน่นอยู่แล้ว และกระแสโซเชียลเน็ตเวิร์คจะเป็นอีกแรงผลักดันให้เราเกิด" ปารวดี เผย
วันนี้ new tv มีทีมงานร่วม 200 ชีวิต แต่ไม่เพียงพอที่จะผลิตคอนเทนต์ เธอจึงมองหาทีมงานอีกร่วม 100 ชีวิต ภายใน 1 ปีมาเสริมแกร่งของช่อง เพราะขณะนี้พบว่า "จุดอ่อน" ของช่องคือคอนเทนต์หลักยังไม่แข็งแกร่ง และยังไม่มีฐานคนดูประจำ ทำให้ต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเอง 3-6 เดือน ก่อนปรับผังไปเรื่อยๆ ตอบโจทย์คนดู
"เราต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างหนัก ในธุรกิจทีวีดิจิทัล เพราะเค้กก้อนเท่าเดิม" เธอบอกและย้ำว่า
“ขอประเมินตัวเอง 3 ปี”
ผู้เล่นมาก การแข่งขันสูง เธอจึงประเมินว่าแต่ละรายแข็งแกร่งต่างกัน แต่สิ่งที่จะเป็นตัวแปรให้คนดูแยกแยะช่องได้ว่าใครเป็นใครในสนามนี้ คือการ “เซ็กเมนท์” หรือแบ่งส่วนทางตลาด (Segmentation Target Position : STP) โดยคอนเทนต์ จะเป็นตัวบ่งชี้ หากต้องการดูรายการเกมส์โชว์ หนัง ละคร จะต้องกดรีโมทไปช่องใด
ขณะที่ องอาจ แห่งช่อง 8 มองต่างว่า “วิธีคิดคนอื่นไม่รู้ แต่ช่อง 8 การเข้ามาสู่ดิจิทัลทีวี สิ่งสำคัญคุณต้องเป็นวาไรตี้ และไม่ทำเซ็กเมนท์ เพราะนั่นหมายถึงคุณไม่สามารถทำธุรกิจได้ ธุรกิจมันใหญ่เกินกว่าจะทำเซ็กเมนท์ เงินเป็นหมื่นล้าน ทำเซ็กเมนท์ ถามว่าเอาคนดูแค่ไหน สิ่งที่ช่อง 8 ทำ คือ เอาคนดูทั้งประเทศ”
------------------------------------------
ทีวีดิจิทัล กับภาวะ "อมเลือด"
มุมมองจากคนคร่ำหวอดงานวิจัยการเปลี่ยนผ่านทีวีดิจิทัลในหลายประเทศอย่าง "สิขเรศ ศิรากานต์" นักวิชาการอิสระด้านทีวีดิจิทัล มองเกมธุรกิจครั้งนี้ว่าทุกคนต่าง "อมเลือด" ไว้ ไม่แสดงอาการชัด
"เริ่มมองเห็นว่าทุกคนต่างปรับตัวให้อยู่รอด" ชนิดที่งัดสายป่าน คอนเนคชั่น วิธีบริหารจัดการธุรกิจที่มีมาใช้กันหมด
เขาฉายภาพอีกว่า ขณะนี้อุตสาหกรรมจอแก้วกำลังประสบ "ปัญหา" เพราะนับตั้งแต่ประมูลทีวีดิจิทัลจบลงปลายปี 2556 เริ่มออกอากาศ 1 เม.ย.2557 และเตรียมแจกคูปองซื้อกล่องรับสัญญาณ ที่คาดว่าจะเริ่มแจกปลายเดือนก.ย. กินเวลาร่วมปี แต่สังเวียนนี้เต็มไปด้วยปัญหา ทั้งการส่งสัญญาณจะไม่จ่ายเงินค่าประมูล ค่า Mux กันบ้าง จี้กสทช.แจกคูปองซื้อกล่องรับสัญญาณ ร้องให้เพิ่มมูลค่าคูปองจาก 690 บาท เป็น 1,000 บาทบ้าง
นี่เป็นอาการ "งอแง" ของเอกชน เพราะแบกรับต้นทุนสูงตั้งแต่ต้น
“ถ้าไม่เดือดร้อนจริงคงไม่ทำแบบนี้” เขาวิเคราะห์
สิ่งนี้เองที่ทำให้ธุรกิจก้าวไปข้างหน้าไม่ได้
ขณะที่ "เรทติ้ง" ชี้ชะตาเม็ดเงินโฆษณา มาตรวัดพื้นฐานยังไม่มีความชัดเจน จากการขาดหน่วยงานกลางมาประเมิน ตัวเลขเรทติ้งที่ออกมาจึงเป็นเพียงเรทติ้ง "แฝง" เท่านั้น เพราะวัดผ่านแพลตฟอร์มเดิมทั้งเคเบิลทีวี และทีวีดาวเทียม
"ผู้ประกอบการกำลังเล่นกับฟองสบู่ที่มากขึ้น"
นอกจากนี้ ค่าโฆษณาก็ลดลง เทียบที่ทุ่มเงินประมูลไม่ถือว่าตอนนี้ยัง "ไม่สมน้ำสมเนื้อ"
นี่เป็นโจทย์ที่น่าสนใจว่าผู้ประกอบการจะดำรงอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ?
เขายังเปรียบเทียบธุรกิจทีวีดิจิทัลว่า เหมือนโครงการบ้านจัดสรร ทำเลดี แต่สาธารณูปโภคยังไปไม่ถึง
"รู้ว่าเป็นทำเลทอง แต่ไม่มีใครคำนึงว่าสะพานสร้างเสร็จหรือยัง"
วันนี้หากปัญหายังแก้ไม่ถูกจุดธุรกิจจะเกิดยาก เพราะกระบวนการเปลี่ยนผ่านภูมิทัศน์สื่อในเชิงเทคนิค นอกจาก Mux ต้องมีคุณภาพ การส่งสัญญาณต้องดี คอนเทนท์ก็ต้องสมที่กับผู้บริโภครอคอย ฯลฯ
เขายังวิเคราะห์ว่า กระบวนการสื่อสารของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ไม่มีในโลกที่องค์กร (กสทช.) “เดียว” จะขับเคลื่อนทีวีดิจิทัลให้เกิดขึ้นได้
เขาจึงเสนอ "ทางรอด" ทีวีดิจิทัล โดยการกระจายงาน และตั้งทีม "แอดเวนเจอร์" ระดมกูรูในวงการจริงๆ มากอบกู้ธุรกิจทีวีดิจิทัลให้ "ตั้งไข่" ได้
แนวทางดังกล่าว แค่ผนึกกำลัง "ชั่วคราว" 3 ปีของเหล่ากูรูในวงการ ร่วมทำการตลาดประชาสัมพันธ์ ส่งศิลปินดาราดังมาโปรโมททีวีดิจิทัลเพื่อสร้างการรับรู้ (Brand Awareness) ในวงกว้าง เช่น ช่อง 3 ส่ง ณเดช-มาริโอ้ ช่อง 7 ส่งอั้ม พัชราภา-มิน พีชญา ไหนจะเด็กดังจากอาร์เอส แกรมมี่อีกมากมาย เมื่อ "จุดติด" การรับชมค่อยหันหลังแยกย้ายไปฟาดฟันแข่งขันกันตามสะดวก
เพราะหากไม่รีบกอบกู้สถานการณ์ ธุรกิจอาจเข้าขั้น "วิกฤติ" ต้องเจ็บตัวระนาว ไม่แค่ผู้ประมูล แต่จะลาก "วิชาชีพอื่น" ในห่วงโซ่ใหญ่ให้ล้มพับตามไป ทั้งผู้ผลิตคอนเทนต์ ผลิตกล่องเซ็ทท็อปบ๊อกซ์ ช่างแต่งหน้า ทำผม อีกจิปาถะ
"เป็นเวลาดีมากที่ทั้งอุตสาหกรรมจะร่วมช่วยกันทำให้สถานการณ์ดีขึ้น"
แต่ถ้ายังปล่อยให้ทีวีดิจิทัลเดินไปแบบนี้

เขาวิเคราะห์ว่า...ปลายปีนี้น่าจะรู้ว่าใครจะสำลักเลือดที่อมไว้

วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

PDI

PDI ตั้งงบ 1.5 พันลบ.ช่วงปี 58-60  พลิกไปสู่ธุรกิจพลังงาน-กำจัดกากอุตฯ

สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 22 สิงหาคม 2557 13:29:50 น.

บมจ.ผาแดงอินดัสทรี(PDI) ตั้งงบลงทุน 3 ปี(ปี 58-60)ราว 1.5 พันล้านบาทเพื่อดำเนินการธุรกิจใหม่ทั้งธุรกิจพลังงาน ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์และพลังงานลม รวมทั้งธุรกิจกำจัดกากของเสียจากอุตสาหกรรม ขณะที่บริษัทมีแผนจะยุติธุรกิจสังกะสีภายใน 2-3 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าปริมาณขายสังกะสีที่ 7.5 หมื่นตันใกล้เคียงกับปีก่อน แต่เชื่อว่ารายได้จะสูงขึ้นตามทิศทางราคาสังกะสีในตลาดโลกที่ดีขึ้น

นายฟรานซิส แวนแบลเลน กรรมการผู้จัดการ PDI กล่าวว่า การปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทอยู่ภายใต้นโยบายมุ่งสู่อุตสาหกรรมสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม(Green. Business) เพื่อสร้างลกำไรและการเติบโตที่ยั่งยืน ซึ่งบริษัทได้จัดโครงสร้างธุรกิจเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.พีดีไอ แมททีเรียล (PDI Materials)  ให้บริการด้านผลิตภัณฑ์โลหะเพื่อการพัฒนาชีวิตที่ยั่งยืนโดยขั้นต้นจะเน้นผลิตภัณฑ์สังกะสีที่มีมูลค่าเพิ่มเช่นโลหะปสม, อัลลอยส์ 2.พีดีไอ อีโค (PDI. Eco) ดำเนินธุรกิจจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมเชิงนิเวศซึ่งไม่ใช่การฝังกลบแต่มุ่งเน้นการรีไซเคิลและเปลี่ยนให้เป็นพลังงานไฟฟ้า และ 3. พีดีไอเอ็นเนอร์ยี่(PDI Energy)  ที่จะก่อสร้างและบริหารโรงงานผลิตพลังงานทดแทน ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานชีวมวล

"การปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของ PDI ในรอบระยะเวลากว่า 30 ปี ซึ่งเป็นไปตามแผนพัฒยาเชิงกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว"นายฟรานซิส กล่าว
สำหรับเงินลงทุนเบื้องต้น 1,500 ล้านบาทใน 3 โครงการจะใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทเป็นหลัก และอีกส่วนหนึ่งจะเป็นเงินกู้จากสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบัน บริษัทมีกระแสเงินสดประมาณ 1 พันล้านบาท

นายฟรานซิส กล่าวว่า โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ตั้งอยู่ในที่ดินเดิมของบริษัทที่เป็นเหมืองสังกะสีใน จ.ตาก โดยใช้พื้นที่ทั้งหมด 420 ไร่ ขนาดกำลังการผลิตรวมทั้งโครงการ 90 เมกะวัตต์ โดยเฟสแรกจะมีขนาดกำลังการผลิต 24 เมกะวัตต์ ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานลม กำลังการผลิต 18 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ที่ จ.นครราชสีมา เป็นพื้นที่เช่าสัญญา 25 ปี จำนวน 25 ไร่ ทั้งสองโครงการได้เตรียมความพร้อมไว้แล้ว รอเพียงความชัดเจนของนโยบายภาครัฐที่จะสนับสนุนด้านพลังงานทดแทนหลังจากมีการทบทวนแผนพีดีพีรอบใหม่

ขณะที่โครงการโรงกำจัดกากของเสียอุตสาหกรรมนั้น บริษัทจะใช้พื้นที่ของโรงย่างแร่ที่ จ.ระยอง โดยจะทำการศึกษารายละเอียดของโครงการ คาดว่าได้ข้อสรุปภายในเดือน ต.ค.-พ.ย.57 นี้ จากนั้นจะทำรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ(EHIA) คาดว่าใช้เวลาประมาณ 1 ปีครึ่ง และคาดว่าจะใช้เวลาปรับปรุงโรงงานราว 6 เดือน

นายฟรานซิส กล่าวว่า บริษัทมีเป้าหมายจะยุติธุรกิจโลหะสังกะสีภายใน 2-3 ปีนี้ หรือภายในปี 59-60 หลังจากที่เหมืองแม่สอดจะหมดอายุสัมปทานในปี 66 ซึ่งบริษัทจะใช้เวลาปลูกป่าก่อนคืนพื้นที่

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2-3 ปีนี้ธุรกิจโลหะสังกะสียังมีแนวโน้มดีจากราคาโลหะสังกะสีโลก(LME)ยังคงอยู่ในระดับสูงและคาดว่าจะมากกว่า 2 พันเหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากเหมืองขนาดใหญ่ของออสเตรเลียปิดดำเนินการ ขณะที่ความต้องการฟื้นตัวขึ้น โดยเฉพาะจากจีนและสหรัฐ รวมทั้งสต๊อกสังกะสีของตลาดโลกก็อยู่ระดับต่ำที่ 7 แสนตัน จึงคาดว่าธุรกิจโลหะสังกะสีของบริษัทจะเติบโตต่อเนื่องจากปีนี้ที่จะกลับมามีกำไร และมีกระแสเงินสดเข้าบริษัท

ในปี 57 นี้บริษัทยังคงเป้าปริมาณขายที่ 7.5 หมื่นตันใกล้เคียงปีก่อน แต่คาดว่ารายได้จะสูงขึ้นตามราคาขายที่ดีกว่าปีก่อนที่อยู่ในระดับเฉลี่ย 1,910 เหรียญสหรัฐ/ตัน โดยช่วงครึ่งแรกปีนี้ราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมาเป็น 2,051 เหรียญสหรัฐ/ตัน และคาดว่าครึ่งหลังปีนี้ราคาขายจะอยู่ที่เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2,000 เหรียญสหรัฐ/ตัน และมั่นใจว่าปีนี้จะกลับมามีกำไร หลังจากครึ่งปีแรกทำกำไรได้แล้ว 314 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 72 ล้านบาท และทั้งปี 56 ที่ขาดทุน 413.4 ล้านบาท

นายฟรานซิส ยังกล่าวว่า บริษัทมีแผนจะย้ายหุ้น PDI ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกจากกลุ่มเหมืองแพร่ หลังจากที่บริษัทยุติธุรกิจโลหะสังกะสีและเปลี่ยนไปสู่ Green  Business แต่จะย้ายไปอยู่กลุ่มใดขึ้นกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)จะพิจารณา โดยจากนี้ไป PDI จะมีสถานะเป็นบริษัทโฮลดิ้ง

BCP

อยากรอด "บางจาก" ต้องแตกไลน์

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์  วันที่ 12 สิงหาคม 2557


บมจ.บางจากปิโตรเลียม เล่าแผนกระจายความเสี่ยง ในวันที่หุ้นใหญ่ "นัมเบอร์" วันไม่ใช่ปตท. “วิเชียร อุษณาโชติ”

ทำไม? ราคาหุ้น บางจากปิโตรเลียม หรือ BCP ไม่ขยับสะท้อนแผนขยายการลงทุนไปสู่ "ธุรกิจต้นน้ำ” ในต่างประเทศ รวมถึงแผนซื้อโรงงานเอทานอลในประเทศ หรือนักลงทุนหวั่นใจเรื่องการเติบโตของ BCP ที่อาจไม่สดใสเหมือนก่อน
เพราะอนาคตบริษัทจะไม่ได้อยู่ภายใต้ร่มเงาของบมจ.ปตท.หรือ PTT อีกต่อไป หลัง “ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์”ในฐานะประธานบอร์ดปตท.ออกมายอมรับว่า มีแผนลดการผูดขาดธุรกิจน้ำมัน ด้วยการขายหุ้น BCP จำนวน 27.22 เปอร์เซ็นต์ และบมจ.โรงกลั่นสตาร์ปิโตรเลียม หรือ SPRC จำนวน 36 เปอร์เซ็นต์ หรือไม่!!
เมื่อวันที่ 31 ก.ค.2557 “บางจากปิโตรเลียม” ประกาศตั้งบริษัทย่อยในประเทศสิงคโปร์ ภายใต้ชื่อ BCP Energy International ผู้ประกอบการธุรกิจพลังงาน ปิโตรเคมีและทรัพยากรธรรมชาติ ทุนจดทะเบียน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้เข้าซื้อหุ้นสามัญ 402,951,875 หุ้น วงเงินไม่เกิน 22.2 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์ออสเตรเลียเทียบเท่าเงินบาทประมาณ 30 บาท) ของบริษัท Nido Petroleum Limited ประเทศออสเตรเลีย ผู้ประกอบการการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ
ถัดมา 1 วัน (1 ส.ค.2557) บริษัทแจ้งแผนลงทุนเพิ่มเติมว่า ได้เข้าไปซื้อหุ้น 7,650,000 หุ้น คิดเป็น 85 เปอร์เซ็นต์ของทุนจดทะเบียนในบริษัท บีซีพิ ไบโอเอทานอล จำกัด จากบริษัท สีมาอินเตอร์โปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเอทานอล จากมันสำปะหลัง ขนาดกำลังการผลิต 150,000 ลิตรต่อวัน รวมทั้งยังผลิตและจำหน่ายน้ำแป้ง มูลค่าเงินลงทุนรวม 765 ล้านบาท
“ในวันที่ไม่มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่หมายเลขหนึ่งอย่างปตท.เราคงต้องทำตัวเองให้แข็งแกร่ง ด้วยการเตรียมความพร้อมตลอดเวลา จะให้เราเดินไปบอกเขาให้อยู่กับเราตลอดชีวิตคงเป็นไปไม่ได้จะไปกำหนดแบบนั้นคงไม่ได้”“จอห์น-วิเชียร อุษณาโชติ"กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจากปิโตรเลียม พูดยืนยันด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หากปตท.ขายหุ้น BCP ออกมาทั้งหมด ขอยืนยันตรงนี้ว่า ไม่กระทบต่อธุรกิจปกติที่บริษัทดำเนินการอยู่ เพราะที่ผ่านมาเราทำธุรกิจกับปตท.ปกติทั่วไปไม่ได้พิเศษอะไร เช่น ทำสัญญาการซื้อน้ำมันดิบ สัญญาการขายน้ำมันสำเร็จรูป และสัญญาการเช่าถังเก็บน้ำมันดิบ เป็นต้น ซึ่งทุกๆสัญญาไม่ได้เกิดเพราะเขาถือหุ้นใหญ่เรา แต่เป็นการทำงานแบบได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย
ถามถึงยุทธศาสตร์สร้างความแข็งแกร่ง เขาตอบว่า การออกไปทำงานต่างประเทศถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ เรามองว่าอนาคตคงจะหยุดอยู่เพียงการทำธุรกิจโรงกลั่นอย่างเดียวคงไม่ได้แล้ว ด้วยความที่ธุรกิจโรงกลั่นมีวัฎจักรเป็นของตัวเอง ทำให้ค่าการกลั่นมีความผันผวน ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทไม่เสถียรภาพ โดยเฉพาะในแง่ของ “กำไรสุทธิ”
ล่าสุดบริษัทย่อยของ BCP ได้เข้าลงทุนใน Nido ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ประเทศออสเตรเลีย ปัจจุบันบริษัทแห่งนี้ได้รับสัมปทานขุดเจาะแหล่งปิโตรเลียมในประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ที่ผ่านมามีกำไรตกปีละ15 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 400 ล้านบาท
“BCP อาจปิดดีลการซื้อหุ้น Nido ได้ภายในช่วงไตรมาส 4/2557 ส่วนจะรับรู้กำไรจากบริษัทดังกล่าวได้ในสัดส่วนเท่าไหร่ขึ้นอยู่ที่ว่า Nido จะเสนอขายหุ้นให้กับบริษัทตามที่เสนอซื้อไปทั้ง “ร้อยเปอร์เซ็นต์” หรือไม่ หากผู้ถือหุ้นยอมขายคงใช้เงินประมาณ 3,720 ล้านบาท”
เขายอมรับว่า การลงทุนต่างประเทศรอบนี้มีลักษณะการทำงานที่จริงจัง เพราะอดีตเราออกไปทำงานด้วยการตั้งตัวแทนจำหน่าย หรือค้าขายน้ำมันเล็กน้อยเท่านั้น ที่สำคัญถือเป็นธุรกิจใหม่ของบริษัท ที่ผ่านมาเราไม่เคยทำมาก่อน ถึงจะเป็นงานใหม่ แต่ธุรกิจนี้มีความสัมพันธ์กับธุรกิจโรงกลั่นของ BCP
ปัจจุบันบริษัทซื้อน้ำมันดิบในประเทศ เพื่อนำมาป้อนโรงงานของตัวเองประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ และนำเข้า 50 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นเพื่อสร้างความมั่นคงในการจัดหาน้ำมันดิบ เราจึงพยายามเข้าใกล้เจ้าของบ่อน้ำมันให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปซื้อโดยตรง หรือการเข้าไปทำขุดเจาะน้ำมันเอง
“อยากเห็น BCP เป็นบริษัทชั้นนำด้านธุรกิจพลังงานในระดับภูมิภาค ควบคู่ไปกับการทำงานช่วยสังคม อยากให้ทุกคนคิดถึงบางจากทุกครั้งที่อยากทำเรื่องดีๆ เพื่อสังคม วันนี้เรากำลังเริ่มนับหนึ่งในธุรกิจต่างประเทศ ฉะนั้นจุดเริ่มต้นจาก Nido ถือเป็นเรื่องที่ดีในการเรียนรู้ธุรกิจขุดเจาะสำรวจ”
“กรรมการผู้จัดการ” เล่าต่อว่า ในเมื่อวันนี้ธุรกิจเดิมไม่สามารถทำให้บริษัทคว้าตัวเลขกำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อม หรือ EBITDA ประมาณ 25,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 150 เปอร์เซ็นต์ได้ในปี 2563 ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องหาธุรกิจใหม่มาเสริม เขาย้ำ นั่นคือ ธุรกิจผลิตสำรวจและผลิตปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งงานชิ้นนี้เป็นความหวังใหม่ของเรา
หน้าตาธุรกิจจะคล้ายๆของบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ PTTEP แต่ไซด์ไม่ใหญ่เท่า คาดว่าภายในปี 2563 บริษัทต้องมีรายได้จากธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและสถานีบริการน้ำมัน 50 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลืออีก 50 เปอร์เซ็นต์จะมาจากธุรกิจผลิตสำรวจฯ และธุรกิจพลังงานทดแทน จากปัจจุบันที่มีรายได้จากธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและสถานีบริการน้ำมัน “ร้อยเปอร์เซ็นต์”
“วันนี้เรามองเห็นธุรกิจผลิตสำรวจฯในต่างประเทศที่มีขนาดใกล้เคียงกับ Nido จำนวนมาก ฉะนั้นยังมีโอกาสในการลงทุน เพื่อขยายธุรกิจให้มีขนาดใหญ่ขึ้นต่อไป”
สำหรับธุรกิจภายในประเทศ ในส่วนของโรงกลั่น เราอยู่ระหว่างการออกแบบโครงการ 3E เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการกลั่นให้ใช้กำลังการกลั่นสูงขึ้น คาดว่าจะสามารถหาผู้รับเหมาได้ประมาณปลายปีนี้ หากโครงการ 3E แล้วเสร็จจะเพิ่ม EBITDA ได้ 2,000 ล้านบาท และถ้าโรงกลั่นเพิ่มประสิทธิภาพของอุปกรณ์สำเร็จจะมี EBITDA เข้ามาอีก 1,000 ล้านบาท
ส่วนธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน เรามีเป้าหมายจะขยายเครือข่ายสถานีบริการของเราให้สามารถรองรับปริมาณน้ำมันที่กลั่นได้ หากทำได้จะสามารถเพิ่ม EBITDA ได้อีกเป็นเท่าตัว ขณะเดียวกันเราจะหันมาไปทำธุรกิจอาหาร ด้วยการเข้าไปซื้อ “แฟรนไชส์”ปลายปีนี้น่าจะมีความชัดเจน
เขา เล่าเรื่องธุรกิจด้านพลังงานทดแทนว่า กำลังดูเรื่องการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ไม่ว่าจะเป็น “ไบโอแมส” หรือ“ไบโอแก๊ส” เพราะอนาคตพลังงานเหล่านี้อาจเป็นพลังงานพื้นฐานของประเทศไทย ตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษาเรื่องเทคโนโลยี หากทำจริงเราคงดำเนินการร่วมกับพันธมิตร
ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตร 2 ราย เพื่อร่วมกันทำธุรกิจโซลาร์ฟาร์มในประเทศญี่ป่น ซึ่งพันธมิตรท้องถิ่นมีที่ดินอยู่หลายแปลง โดยหนึ่งแปลงใหญ่เพียงพอที่จะทำโซลาร์ฟาร์มขนาด 20-30 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถสรุปดีลนี้ได้ภายในปีนี้
“วิเชียร” ยืนยันว่า ปีนี้อาจมี EBITDA ตามเป้าหมาย 10,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมกิจการที่บริษัทเพิ่งเข้าซื้อมาใหม่ที่จะทำให้ EBITDA เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัท บีซีพี ไบโอเอทานอล จำกัด อาจมี EBITDA ประมาณ 50 ล้านบาท จากทั้งปีที่อาจมี EBITDA 160 ล้านบาทต่อปี
“ประมาณการ EBITDA ปีนี้จะมาจากธุรกิจโรงกลั่น 5,500 ล้านบาท ธุรกิจขายปลีก 2,000 ล้านบาท โซล่าร์ฟาร์ม 2,000 ล้านบาท ไบโอดีเซลกว่า 200 ล้านบาท และไบโอเอทา นอลกว่า 100 ล้านบาท”
34-36 บาท ราคาพื้นฐาน
บล.บัวหลวง แสดงความเห็นเรื่องขยายการลงทุนไปในต่างประเทศว่า แม้ราคาซื้อ 22 ล้านเหรียญออสเตรเลียจะไม่แพงหากพิจารณาจากปริมาณสำรองที่ 30 เหรียญออสเตรเลียต่อบาร์เรล (ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานของต้นทุนการเข้าซื้อสินทรัพย์น้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ 35-37 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่หากคิดราคาดีลที่ 0.055 เหรียญออสเตรเลียต่อหุ้น ถือว่าสูงกว่าราคาซื้อขายหุ้น Nido ในตลาดหุ้นออสเตรเลียอยู่ 34 เปอร์เซ็นต์
นักวิเคราะห์ยังมองต่อว่า การลงทุนนอกบ้านครั้งนี้ BCP ใช้เงินลงทุนจากกระแสเงินสดที่มีอยู่ 45,000 ล้านบาท ตัวเลข ณ สิ้นเดือนมี.ค.2557 ฉะนั้นหากในอนาคต BCP ลงทุนในธุรกิจต้นน้ำแค่ระดับปาน กลาง เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการมูลค่า แต่ถ้าบริษัทหันมาให้ความสำคัญมากขึ้นบริษัทอาจมีความเสี่ยงเรื่องเงินลงทุน เพราะธุรกิจต้นน้ำใช้เงินค่อนข้างสูง
“แนะนำถือลงทุนหุ้น BCP ราคาเป้าหมาย 34 บาท”
ส่วนเรื่องการซื้อโรงงานเอทานอลในประเทศ บล.เคที ซีมิโก้ บอกว่า ประเด็นนี้ไม่ได้สร้างความประหลาดใจ เพราะแผนลงทุนดังกล่าวเป็นไปตามที่บริษัทเคยประกาศไว้ แต่การลงทุนดังกล่าวจะสร้างควมมั่นคงให้กับวัตถดิบเอทานอลสำหรับรองรับการผลิตแก๊สโซฮอล์ (E20 และ E85) ของบริษัท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีความต้องการใช้เอทานอลในปริมาณมากกว่า 9 ล้านลิตรต่อเดือน และเพื่อรองรับศักยภาพในการส่งออกเอทานอลของไทยที่จะเป็นศูนย์กลางการส่งออกเอทานอลในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะนำซื้อลงทุนราคาเป้าหมาย 36 บาท โดยให้น้ำหนักเป็นกลางในการลงทุน 2 โครงการใหญ่ แม้จะใช้เงินลงทุนไม่สูง แต่ช่วงต้นคงได้ส่วนแบ่งกำไรน้อยมาก โดยเงินลงทุนทั้งสองโครงการจะมาจากเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ 10,000 ล้านบาท รวมถึงกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน
“ความกังวลที่ PTT จะลดสัดส่วนการลงทุนใน BCP ได้ซึมซับในราคาหุ้น BCP มามากแล้ว เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่มีผลต่อการดำเนินงานหลัก ผลประกอบการ 3 ปีข้างหน้าโดยเฉลี่ยของบริษัทคาดว่าจะเติบโต 12 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER 7 เท่า และ PBV ที่ 1 เท่าในปี 2558 ทั้งๆ ที่มี ROE ระยะกลางสูงถึง 15 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงที่สุดในบรรดาหุ้นโรงกลั่นในภูมิภาคนี้”

วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

อดกลั้นต่อสิ่งยั่วเย้า โดย ดร.นิเวศน์

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
วันที่ 15 กรกฎาคม 2557 
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

http://www.bangkokbiznews.com/home/details/business/ceo-blogs/nives/20140715/593077/%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B9%89%E0%B8%B2.html

การลงทุนในตลาดหุ้นแบบระยะยาวจริงๆ คือ ถือหุ้นแต่ละตัวโดยเฉลี่ยมากกว่าหนึ่งปี หรือหลายๆ ปีขึ้นไป

ผมคิดว่าเป็นเรื่องยากสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะที่ยังมีอายุน้อย และมีความหวังที่จะ "รวย" จากการลงทุนในเวลาอันสั้น เหตุผลที่สำคัญคือ คนจำนวนมากคิดว่า การลงทุนระยะสั้น จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าการซื้อหุ้นแล้วไม่ขาย ถ้า "เล่นสั้น" จะมีโอกาส "ทำกำไร" ปีละหลายรอบ บางทีรอบละ 10-20% ปีหนึ่งอาจสร้างผลตอบแทนหลายสิบเปอร์เซ็นต์
คนที่เป็น "เทรดเดอร์" หรืออาจเป็น "นักลงทุนรายวัน" สิ่งที่ "ยั่ว" ให้เขาเข้ามาซื้อหรือขายหุ้นคือ ราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้น นี่คือการเล่นหุ้นตามแนวเทคนิค ที่เน้นการซื้อขายหุ้นตามความผันผวนของราคาและความคึกคักของหุ้น หุ้นที่กำลังวิ่งขึ้นรวดเร็ว เช่น ภายในเวลาเพียงชั่วอึดใจราคาอาจจะปรับขึ้นไปเป็น 10% หรือในช่วงไม่กี่วันราคาขยับขึ้นไปต่อเนื่องหลายสิบเปอร์เซ็นต์ อาการแบบนี้ทำให้นักเล่นหุ้นระยะสั้นแนวเทรดเดอร์ “อดทนไม่ไหว” ต้องเข้าไปเล่นโดยหวังว่าหุ้นจะวิ่งต่อไปและตนเองสามารถทำกำไรได้อย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น
คนที่เข้าไปเล่นหุ้นตามแนวทางนี้เมื่อได้กำไรในระดับหนึ่ง เช่น อาจจะ 5%-6% ก็มักจะรีบขายทำกำไรเพราะอาจจะกลัวว่าหุ้นจะ “ปรับตัวลง” เช่นเดียวกัน บางคนเข้าไปซื้อ “ช้าเกินไป” และหุ้นปรับตัวลงต่ำกว่าต้นทุน บางทีเข้าก็อาจจะขายทิ้งเหมือนกัน
“สิ่งยั่วเย้า” ต่อมาที่มักทำให้คนเข้าไปซื้อหุ้น โดยไม่ได้ศึกษาบริษัทอย่างลึกซึ้งก็คือ “ข่าวดี” ของบริษัท เช่น บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้โดดเด่น เช่น ขายคอนโดหมดได้อย่างรวดเร็ว บริษัทได้รับงานใหม่ที่มีขนาดหรือรายได้สูง เช่น บริษัทรับเหมาก่อสร้างประมูลงานได้ หรือบริษัทชนะประมูลแข่งในกิจการสัมปทานหรืองานจากหน่วยงานรัฐและเอกชนต่าง ๆ เป็นต้น ข่าวดีเหล่านั้นถึงจะทำรายได้ให้บริษัทเพิ่มขึ้นในอนาคตและอาจจะช่วยทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้นซึ่งก็จะทำให้หุ้นมีค่ามากขึ้นได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะเป็นเรื่องที่ “เกิดขึ้นครั้งเดียว” หรือไม่ถาวร
ดังนั้นผลกระทบในแง่ของมูลค่าของบริษัทก็อาจจะไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเรื่อง “ระยะยาว” แต่ใน “ระยะสั้น” คนก็น่าจะเข้ามาเก็บหุ้น และราคาก็จะปรับตัวขึ้น นั่นคือสิ่งที่เราคิด และนั่นทำให้ “อดไม่ได้” ที่จะต้องซื้อหุ้น คิดว่านี่คือเงินที่จะได้มาง่าย ๆ หรือเป็น “Easy Money”
สิ่งยั่วเย้าให้คนแห่กันเข้ามาซื้อหุ้น โดยที่ไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพื้นฐานของบริษัทอีกกลุ่มหนึ่งก็คือสิ่งที่ผมเรียกว่า “Financial Engineering” ในความหมายของผมก็คือ การออกตราสารการเงิน ทั้งที่เป็นหุ้นหรืออนุพันธ์ที่ให้ฟรีหรือเกือบฟรีกับผู้ถือหุ้น หรือการปรับแต่งตัวเลขทางการเงิน เช่น การปรับพาร์หรือแตกหุ้นต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งในพื้นฐานจริงๆ แล้วเป็นเรื่องของการพิมพ์หรือปรับตัวเลขบนกระดาษเพื่อส่งให้ผู้ถือหุ้น แต่ผลที่มักเกิดขึ้นคือนักลงทุนคิดว่าบริษัทกำลังจ่ายปันผลหรือให้สิทธิต่างๆ ที่มีค่า ดังนั้นพวกเขาก็เข้ามาเก็งกำไรโดยการซื้อหุ้นเพื่อหวังปันผลหรือสิทธินั้น โดยอาจจะไม่เข้าใจว่ามูลค่าของหุ้นเดิม จะต้องถูกลดทอนลงหรือเกิด “Dilution” ราคาหุ้นมักจะเพิ่มขึ้น นักลงทุนที่เห็นประกาศการทำ “Financial Engineering” ก็มักจะอดไม่ไหวที่จะเข้าไปซื้อหุ้น เพราะหวังที่จะได้กำไรอย่างง่าย ๆ
นอกจาก “Financial Engineering” แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ไม่แพ้กันก็คือ “Business Engineering” ในความหมายของผมหมายถึงการดัดแปลงหรือหาธุรกิจใหม่ที่ “หวือหวา” ที่เป็นธุรกิจที่ “มีกำไรดี” และ “ทำได้ง่าย ๆ” เช่น พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หรือเป็นธุรกิจ “แห่งอนาคต” เช่น พลังงานทดแทน มาทำแทนหรือเสริมธุรกิจเดิมอย่างมีนัยสำคัญ ผลที่เกิดมักเกิดขึ้นก็คือ บริษัทถูกมองว่าจะกลายเป็นบริษัทที่มีกำไร และเติบโตมหาศาลจากเดิมที่เป็นบริษัทน่าเบื่อและไม่มีอนาคต นักลงทุนจะเข้ามาซื้อหุ้นและให้มูลค่าเท่าๆ หรือมากกว่าบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน ทั้งๆ ที่บริษัทยังไม่ได้พิสูจน์ผลงานเป็นที่ประจักษ์ ผลคือราคาหุ้นพุ่งพรวดและนักลงทุนจำนวนมาก “อดไม่ได้” ที่จะ“ร่วมขบวน”การ “หาเงินง่าย ๆ” นี้
ในยามที่ตลาดหุ้นบูมหนักอย่างในช่วงเร็ว ๆ นี้ ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่จะทำกำไรแบบ Easy Money มากเท่ากับหุ้น IPO หรือหุ้นเข้าตลาดครั้งแรก นี่เป็นการเก็งกำไรที่ได้เสียเร็วมากที่สุดอย่างหนึ่งเพราะราคาหุ้นผันผวนเป็นหลายสิบเปอร์เซ็นต์ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แม้แต่ชั่วนาทีอาจทำกำไรหรือขาดทุนได้หลายเปอร์เซ็นต์ แน่นอน คนที่เข้าไปเล่นในวันแรกที่หุ้นเข้าตลาดนั้นต่างหวังกำไรทั้งนั้น และพวกเขาอดกลั้นไม่ไหวที่จะอยู่เฉย ๆ และมอง“กำไรที่หายไปต่อหน้าต่อตา” ดังนั้นพวกเขาก็เข้าไปเล่น โดยไม่ได้สนใจพื้นฐานของกิจการ
การสนองตอบต่อสิ่งยั่วเย้านั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะต่อนักลงทุนที่ “ไม่รอบรู้” เท่านั้น แม้แต่คนที่เก่งกาจและเป็น VI ผู้มุ่งมั่นเองก็ประสบกับมันเช่นกัน ความต้องการกำไรที่มากและรวดเร็วหรือเป็น Easy Money นั้น ทำให้หุ้นประเภทมีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวขึ้นมากและรวดเร็ว เป็นที่สนใจของ VI จำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะที่อายุยังไม่มากและพอร์ตยังไม่ใหญ่นัก นั่นคือหุ้นที่ถูกจัดว่าเป็นหุ้น Turnaround หรือหุ้นฟื้นตัว หรือหุ้น Cyclical หรือหุ้นวัฏจักร หุ้นสองกลุ่มนี้คือหุ้นที่พื้นฐานหรือผลการดำเนินงานกำลังเปลี่ยน
จากบริษัทใกล้ล้มละลายหรือตกต่ำอย่างหนักจากภาวะแวดล้อมทางอุตสาหกรรม กลายเป็นบริษัทที่ “เกิดใหม่” และจะมีกำไร หรือกลายเป็นบริษัทที่กำลังจะมีกำไรดีต่อเนื่องไปในอนาคตหลังจากตกต่ำมาช่วงเวลาหนึ่ง ภาวะที่ดีขึ้นอย่างมากในเวลาอันสั้นนั้น มักก่อเกิดความรู้สึกที่เรียกว่า “Euphoria” หรือเป็นความรู้สึกที่ดีอย่างเคลิบเคลิ้ม จนลืมไปว่าผลประกอบการในอนาคตนั้นอาจจะไม่ได้สวยสดต่อเนื่องยาวนาน และดังนั้นพวกเขามักให้มูลค่าสูงเทียบกับผลกำไรบริษัท ที่กำลังดีขึ้นแต่อาจจะไม่คงทน ผลคือ ราคาหุ้นถูก “ดัน” ขึ้นไปมาก เนื่องจากนักลงทุน “ทนไม่ไหว” ที่จะไม่เข้าไปซื้อหุ้นที่เห็นว่าอาจจะโตขึ้นไปได้ อาจจะอีกหลายเท่า
ยังมีสิ่งยั่วเย้าอีกมากมายในตลาดหุ้นที่ดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้นในระยะสั้น ตัวอย่างเช่น การที่หุ้นถูกซื้อโดย “เซียน” หรือนักลงทุน “รายใหญ่” ในตลาดหุ้น หรือถูกซื้อโดยผู้บริหารในจำนวนมาก หรือเรื่องราวต่าง ๆ อีกร้อยแปดที่อาจจะมีผลต่อราคาหุ้นอย่างรุนแรง และทำให้นักลงทุนที่ติดตามความเคลื่อนไหวเหล่านั้น เข้ามาซื้อหุ้นโดยหวังทำกำไรรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้นเพราะเขา “อดกลั้นไม่ได้”

ผมเองไม่ได้บอกว่าการเข้าซื้อหุ้นบ่อยๆ เพราะอดกลั้นไม่ได้ต่อสิ่งยั่วเย้าเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี มันคงเป็นประสบการณ์ของนักลงทุนแต่ละคน และคงขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ว่าถูกต้องหรือไม่ และบางทีเป็นเรื่องช่วงเวลาที่ทำ ส่วนตัวผมเองเชื่อว่า การทำหรือซื้อหุ้นบ่อยๆ ซึ่งแปลว่าต้องขายบ่อยด้วยนั้น ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคนส่วนใหญ่ และทำให้การรู้จักอดกลั้นต่อสิ่งยั่วเย้านั้น เป็นศิลปะที่สำคัญอย่างหนึ่งของ VI

วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

SENA

ที่มา : updated: 12 ก.ค. 2557 เวลา 10:24:24 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ไล่ซื้อที่ดินพลิกโฉมฝั่งธน ชิงโกดังเก่าเสริมสุข-ทุบเมอร์รี่คิงส์รับรถไฟฟ้า

.....................

ทุ่ม 300 ล้านซื้อที่อาบอบนวด

ขณะที่ ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เปิดเผยว่า เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาบริษัทได้ซื้อที่ดินสถานบริการอาบอบนวดติดถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ชื่อ "บางกอกโคซี่" จากเจ้าของที่นำออกขายผ่านทางบริษัทตัวแทนขายที่ดิน โดยที่ดินทั้งแปลงมีเนื้อที่กว่า 3 ไร่ ซื้อมาในราคาเฉลี่ย ตร.ว.ละกว่า 3 แสนบาท หรือยกแปลงกว่า 300 ล้านบาท

ปัจจุบันอยู่ระหว่างออกแบบ จะพัฒนาเป็นคอนโดฯ สูงกว่า 20-30 ชั้น ภายใต้แบรนด์เดอะนิช คาดว่ามีราคาขายเริ่มต้น ตร.ม.ละ 8 หมื่นบาท หรือยูนิตละกว่า 2 ล้านบาท จะเปิดตัวได้ช่วงครึ่งปีหลังนี้.............................




-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
SENA เปิด 4 โครงการใหม่ Q4/57 มูลค่า 1,640 ลบ.ทั้งแนวราบ-คอนโดฯ-คลับเฮ้าส์
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 8 กันยายน 2557 17:44:58 น.

นายสุธรรม โอฬารกิจนันต์ ผู้อำนวยการจัดสรรเงินทุนและการลงทุน บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 4/57 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มอีก 4 โครงการ รวมมูลค่า 1,640 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียมย่านถนนเสรีไทย 1 โครงการ มูลค่า 1,200 ล้านบาท ขนาด 800 ยูนิต ส่วนอีก 2 โครงการเป็นแนวราบทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์โฮมย่านรามอินทรา รวมมูลค่า 240 ล้านบาท และคลับเฮ้าส์ของโครงการสนามกอล์ฟพัทยาคันทรีคลับ มูลค่า 200 ล้านบาท
ดังนั้น บริษัทจึงเชื่อว่ายอดขายในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 3,000 ล้านบาท หลังจากช่วงครึ่งปีแรกทำยอดขายได้แล้วราว 1,200 ล้านบาท และในช่วงช่วงเดือน ก.ค.จนถึงวันที่ 8 ก.ย.ได้ยอดขายเพิ่มเข้ามาอีกราว 600 ล้านบาท

นอกจากนั้น บริษัทยังคงเป้ารายได้ในปีนี้ที่ 2,500 ล้านบาท หลังจากครึ่งปีแรกมียอดขายแล้ว 1,018 ล้านบาท ขณะที่แนวโน้มรายได้ช่วงไตรมาส 3/57 น่าจะสูงกว่าไตรมาส 2/57 โดยปัจจุบันมียอดขายรอโอน(backlog) กว่า 2,000 ล้านบาทที่จะทยอยรับรู้รายได้ภายในปีนี้ประมาณ 75% หรือราว 1,500 ล้านบาท รวมถึงโครงการที่จะเปิดขายในครึ่งหลังน่าจะทยอยรับรู้ฯเข้ามาได้อีกบางส่วน

"8 เดือน ยอดขายราว 1,800 ล้านบาท อีก 1,200 ล้านบาทช่วง ก.ย.-ธ.ค.ก็จะมีโครงการเดิมที่เปิดขายอยู่ตั้งแต่ต้นปีถึงปลายปี และแนวโน้มไตรมาส 4 sentiment ดีขึ้นจากไตรมาส 3  เพราะโดยรวมผู้บริโภคมีความมั่นใจมากขึ้น ซึ่งช่วยกระตุ้นกำลังซื้ออสังหาฯ จึงเชื่อแนวโน้มครึ่งหลังดีกว่าครึ่งแรก"นายสุธรรม กล่าว

ล่าสุด ในเดือนส.ค.ที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดโครงการ"เดอะนิช ไอดี บางแค"คอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร(เฟส 1) มูลค่าโครงการ 690 ล้านบาท กระแสตอบรับดี


สำหรับงบซื้อที่ดินในปี 57 ที่บริษัทตั้งวงเงินไว้ที่ 1,000 ล้านบาทนั้น จนถึงขณะนี้ใช้ไปแล้ว 600 ล้านบาท เหลืออีก 400 ล้านบาทที่อยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ดินเพิ่มเติม คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้