วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

อดกลั้นต่อสิ่งยั่วเย้า โดย ดร.นิเวศน์

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
วันที่ 15 กรกฎาคม 2557 
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

http://www.bangkokbiznews.com/home/details/business/ceo-blogs/nives/20140715/593077/%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B9%89%E0%B8%B2.html

การลงทุนในตลาดหุ้นแบบระยะยาวจริงๆ คือ ถือหุ้นแต่ละตัวโดยเฉลี่ยมากกว่าหนึ่งปี หรือหลายๆ ปีขึ้นไป

ผมคิดว่าเป็นเรื่องยากสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะที่ยังมีอายุน้อย และมีความหวังที่จะ "รวย" จากการลงทุนในเวลาอันสั้น เหตุผลที่สำคัญคือ คนจำนวนมากคิดว่า การลงทุนระยะสั้น จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าการซื้อหุ้นแล้วไม่ขาย ถ้า "เล่นสั้น" จะมีโอกาส "ทำกำไร" ปีละหลายรอบ บางทีรอบละ 10-20% ปีหนึ่งอาจสร้างผลตอบแทนหลายสิบเปอร์เซ็นต์
คนที่เป็น "เทรดเดอร์" หรืออาจเป็น "นักลงทุนรายวัน" สิ่งที่ "ยั่ว" ให้เขาเข้ามาซื้อหรือขายหุ้นคือ ราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้น นี่คือการเล่นหุ้นตามแนวเทคนิค ที่เน้นการซื้อขายหุ้นตามความผันผวนของราคาและความคึกคักของหุ้น หุ้นที่กำลังวิ่งขึ้นรวดเร็ว เช่น ภายในเวลาเพียงชั่วอึดใจราคาอาจจะปรับขึ้นไปเป็น 10% หรือในช่วงไม่กี่วันราคาขยับขึ้นไปต่อเนื่องหลายสิบเปอร์เซ็นต์ อาการแบบนี้ทำให้นักเล่นหุ้นระยะสั้นแนวเทรดเดอร์ “อดทนไม่ไหว” ต้องเข้าไปเล่นโดยหวังว่าหุ้นจะวิ่งต่อไปและตนเองสามารถทำกำไรได้อย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น
คนที่เข้าไปเล่นหุ้นตามแนวทางนี้เมื่อได้กำไรในระดับหนึ่ง เช่น อาจจะ 5%-6% ก็มักจะรีบขายทำกำไรเพราะอาจจะกลัวว่าหุ้นจะ “ปรับตัวลง” เช่นเดียวกัน บางคนเข้าไปซื้อ “ช้าเกินไป” และหุ้นปรับตัวลงต่ำกว่าต้นทุน บางทีเข้าก็อาจจะขายทิ้งเหมือนกัน
“สิ่งยั่วเย้า” ต่อมาที่มักทำให้คนเข้าไปซื้อหุ้น โดยไม่ได้ศึกษาบริษัทอย่างลึกซึ้งก็คือ “ข่าวดี” ของบริษัท เช่น บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้โดดเด่น เช่น ขายคอนโดหมดได้อย่างรวดเร็ว บริษัทได้รับงานใหม่ที่มีขนาดหรือรายได้สูง เช่น บริษัทรับเหมาก่อสร้างประมูลงานได้ หรือบริษัทชนะประมูลแข่งในกิจการสัมปทานหรืองานจากหน่วยงานรัฐและเอกชนต่าง ๆ เป็นต้น ข่าวดีเหล่านั้นถึงจะทำรายได้ให้บริษัทเพิ่มขึ้นในอนาคตและอาจจะช่วยทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้นซึ่งก็จะทำให้หุ้นมีค่ามากขึ้นได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะเป็นเรื่องที่ “เกิดขึ้นครั้งเดียว” หรือไม่ถาวร
ดังนั้นผลกระทบในแง่ของมูลค่าของบริษัทก็อาจจะไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเรื่อง “ระยะยาว” แต่ใน “ระยะสั้น” คนก็น่าจะเข้ามาเก็บหุ้น และราคาก็จะปรับตัวขึ้น นั่นคือสิ่งที่เราคิด และนั่นทำให้ “อดไม่ได้” ที่จะต้องซื้อหุ้น คิดว่านี่คือเงินที่จะได้มาง่าย ๆ หรือเป็น “Easy Money”
สิ่งยั่วเย้าให้คนแห่กันเข้ามาซื้อหุ้น โดยที่ไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพื้นฐานของบริษัทอีกกลุ่มหนึ่งก็คือสิ่งที่ผมเรียกว่า “Financial Engineering” ในความหมายของผมก็คือ การออกตราสารการเงิน ทั้งที่เป็นหุ้นหรืออนุพันธ์ที่ให้ฟรีหรือเกือบฟรีกับผู้ถือหุ้น หรือการปรับแต่งตัวเลขทางการเงิน เช่น การปรับพาร์หรือแตกหุ้นต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งในพื้นฐานจริงๆ แล้วเป็นเรื่องของการพิมพ์หรือปรับตัวเลขบนกระดาษเพื่อส่งให้ผู้ถือหุ้น แต่ผลที่มักเกิดขึ้นคือนักลงทุนคิดว่าบริษัทกำลังจ่ายปันผลหรือให้สิทธิต่างๆ ที่มีค่า ดังนั้นพวกเขาก็เข้ามาเก็งกำไรโดยการซื้อหุ้นเพื่อหวังปันผลหรือสิทธินั้น โดยอาจจะไม่เข้าใจว่ามูลค่าของหุ้นเดิม จะต้องถูกลดทอนลงหรือเกิด “Dilution” ราคาหุ้นมักจะเพิ่มขึ้น นักลงทุนที่เห็นประกาศการทำ “Financial Engineering” ก็มักจะอดไม่ไหวที่จะเข้าไปซื้อหุ้น เพราะหวังที่จะได้กำไรอย่างง่าย ๆ
นอกจาก “Financial Engineering” แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ไม่แพ้กันก็คือ “Business Engineering” ในความหมายของผมหมายถึงการดัดแปลงหรือหาธุรกิจใหม่ที่ “หวือหวา” ที่เป็นธุรกิจที่ “มีกำไรดี” และ “ทำได้ง่าย ๆ” เช่น พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หรือเป็นธุรกิจ “แห่งอนาคต” เช่น พลังงานทดแทน มาทำแทนหรือเสริมธุรกิจเดิมอย่างมีนัยสำคัญ ผลที่เกิดมักเกิดขึ้นก็คือ บริษัทถูกมองว่าจะกลายเป็นบริษัทที่มีกำไร และเติบโตมหาศาลจากเดิมที่เป็นบริษัทน่าเบื่อและไม่มีอนาคต นักลงทุนจะเข้ามาซื้อหุ้นและให้มูลค่าเท่าๆ หรือมากกว่าบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน ทั้งๆ ที่บริษัทยังไม่ได้พิสูจน์ผลงานเป็นที่ประจักษ์ ผลคือราคาหุ้นพุ่งพรวดและนักลงทุนจำนวนมาก “อดไม่ได้” ที่จะ“ร่วมขบวน”การ “หาเงินง่าย ๆ” นี้
ในยามที่ตลาดหุ้นบูมหนักอย่างในช่วงเร็ว ๆ นี้ ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่จะทำกำไรแบบ Easy Money มากเท่ากับหุ้น IPO หรือหุ้นเข้าตลาดครั้งแรก นี่เป็นการเก็งกำไรที่ได้เสียเร็วมากที่สุดอย่างหนึ่งเพราะราคาหุ้นผันผวนเป็นหลายสิบเปอร์เซ็นต์ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แม้แต่ชั่วนาทีอาจทำกำไรหรือขาดทุนได้หลายเปอร์เซ็นต์ แน่นอน คนที่เข้าไปเล่นในวันแรกที่หุ้นเข้าตลาดนั้นต่างหวังกำไรทั้งนั้น และพวกเขาอดกลั้นไม่ไหวที่จะอยู่เฉย ๆ และมอง“กำไรที่หายไปต่อหน้าต่อตา” ดังนั้นพวกเขาก็เข้าไปเล่น โดยไม่ได้สนใจพื้นฐานของกิจการ
การสนองตอบต่อสิ่งยั่วเย้านั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะต่อนักลงทุนที่ “ไม่รอบรู้” เท่านั้น แม้แต่คนที่เก่งกาจและเป็น VI ผู้มุ่งมั่นเองก็ประสบกับมันเช่นกัน ความต้องการกำไรที่มากและรวดเร็วหรือเป็น Easy Money นั้น ทำให้หุ้นประเภทมีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวขึ้นมากและรวดเร็ว เป็นที่สนใจของ VI จำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะที่อายุยังไม่มากและพอร์ตยังไม่ใหญ่นัก นั่นคือหุ้นที่ถูกจัดว่าเป็นหุ้น Turnaround หรือหุ้นฟื้นตัว หรือหุ้น Cyclical หรือหุ้นวัฏจักร หุ้นสองกลุ่มนี้คือหุ้นที่พื้นฐานหรือผลการดำเนินงานกำลังเปลี่ยน
จากบริษัทใกล้ล้มละลายหรือตกต่ำอย่างหนักจากภาวะแวดล้อมทางอุตสาหกรรม กลายเป็นบริษัทที่ “เกิดใหม่” และจะมีกำไร หรือกลายเป็นบริษัทที่กำลังจะมีกำไรดีต่อเนื่องไปในอนาคตหลังจากตกต่ำมาช่วงเวลาหนึ่ง ภาวะที่ดีขึ้นอย่างมากในเวลาอันสั้นนั้น มักก่อเกิดความรู้สึกที่เรียกว่า “Euphoria” หรือเป็นความรู้สึกที่ดีอย่างเคลิบเคลิ้ม จนลืมไปว่าผลประกอบการในอนาคตนั้นอาจจะไม่ได้สวยสดต่อเนื่องยาวนาน และดังนั้นพวกเขามักให้มูลค่าสูงเทียบกับผลกำไรบริษัท ที่กำลังดีขึ้นแต่อาจจะไม่คงทน ผลคือ ราคาหุ้นถูก “ดัน” ขึ้นไปมาก เนื่องจากนักลงทุน “ทนไม่ไหว” ที่จะไม่เข้าไปซื้อหุ้นที่เห็นว่าอาจจะโตขึ้นไปได้ อาจจะอีกหลายเท่า
ยังมีสิ่งยั่วเย้าอีกมากมายในตลาดหุ้นที่ดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้นในระยะสั้น ตัวอย่างเช่น การที่หุ้นถูกซื้อโดย “เซียน” หรือนักลงทุน “รายใหญ่” ในตลาดหุ้น หรือถูกซื้อโดยผู้บริหารในจำนวนมาก หรือเรื่องราวต่าง ๆ อีกร้อยแปดที่อาจจะมีผลต่อราคาหุ้นอย่างรุนแรง และทำให้นักลงทุนที่ติดตามความเคลื่อนไหวเหล่านั้น เข้ามาซื้อหุ้นโดยหวังทำกำไรรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้นเพราะเขา “อดกลั้นไม่ได้”

ผมเองไม่ได้บอกว่าการเข้าซื้อหุ้นบ่อยๆ เพราะอดกลั้นไม่ได้ต่อสิ่งยั่วเย้าเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี มันคงเป็นประสบการณ์ของนักลงทุนแต่ละคน และคงขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ว่าถูกต้องหรือไม่ และบางทีเป็นเรื่องช่วงเวลาที่ทำ ส่วนตัวผมเองเชื่อว่า การทำหรือซื้อหุ้นบ่อยๆ ซึ่งแปลว่าต้องขายบ่อยด้วยนั้น ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคนส่วนใหญ่ และทำให้การรู้จักอดกลั้นต่อสิ่งยั่วเย้านั้น เป็นศิลปะที่สำคัญอย่างหนึ่งของ VI

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น