วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

MC

บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เพิ่งตั้งขึ้นเมื่อ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 นี้เอง เดิมที การดำเนินธุรกิจอยู่ภายใต้ บจก. พี.เค. การ์เม้นท์ (อิมปอร์ต-เอ็กซ์ปอร์ต) บจก. แม็คยีนส์ แมคนูแฟคเจอริ่ง เป็นหลัก หลายคนคงรู้จักยีนส์ยี่ห้อ Mc กันดี ดังนั้นเรื่องผลิตภัณฑ์จึงไม่ต้องพูดถึงอีก บริษัทฯ มีโรงงานผลิต 4 แห่งคือ PK, PK1, PK2 และ PK3 มีกำลังการผลิต 4.1 ล้านตัวต่อปี ณสิ้นปี 2555 มีช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งสิ้น 511 แห่ง เป็นร้านค้าปลีกของตนเอง 117 แห่ง และ จุดขายในห้างค้าปลีกสมัยใหม่ 384 แห่ง โดยในไตรมาส 3 ปี 2556 บริษัทฯ สามารถเปิดจุดจำหน่ายเพิ่มขึ้นอีก 39 แห่ง แบ่งเป็นร้านค้าปลีกของตนเอง  13 แห่ง ห้างค้าปลีกสมัยใหม่ 23 แห่ง ร้านค้าปลีกในประเทศพม่า 2 แห่ง และ รถ Mobile Unit จำนวน 1 คัน

ในปี 2555 มีรายได้จากการขายจากร้านค้าปลีกของตนเองคิดเป็นร้อยละ 28.5 จากการขายผ่านห้างค้าปลีกสมัยใหม่ร้อยละ 69.3

ตารางสรุปผลประกอบการ ปี 53-55
แหล่งข้อมูลเบื้องต้น : หนังสือชี้ชวน


สิ่งที่น่าสนใจ 
- กำไรขั้นต้นระดับเกินว่า 30 % 
- รายได้จากปี 53ถึงปี 55 เพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉลี่ยเพิ่มปีละ 40 % 
- กำไรสุทธิจากปี 53 ถึง ปี 55 เพิ่มจาก 104 ล้านบาทเป็น 599 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงมากทีเดียว 
- อัตราส่วนต่างๆไม่ว่า จะเป็น ROA, ROE และ Net Profit Margin ถือว่าดีมากทีเดียว


จากรายงานทางการเงินงวดสามเดือนสำหรับไตรมาส 3/56 พบว่า รายได้เมื่อพิจารณาเฉพาะรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจาก 597.6 ล้านบาทเป็น 657.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10 %  ส่วนกำไรสุทธิเมื่อหักรายได้จากการลงทุนและรายได้อื่นๆออกแล้ว เพิ่มขึ้นจาก 144.1 ล้านบาทในไตรมาส 3/55 เป็น 156.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 8.7 % 

จากหนังสือคำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการสำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2556 ชี้แจงว่า 

"รายได้รวมจากการขายลดลงร้อยละ 5 ในไตรมาส 3ปี 2556 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 สำหรับงวด 9 เดือนปี 2556 และอัตราการเติบโตของรายได้ต่อจุดขายเดิมลดลงร้อยละ 5.0 ในไตรมาส 3 ปี 2556 และ ร้อยละ 4.5 สำหรับงวด 9 เดือนปี 2556 สาเหตุหลักเนื่องจากร้านค้าไฮเปอร์มาเก็ตบางแห่งชะลอการสั่งซื้อกับบริษัทในระหว่างปี แต่อย่างไรก็ตามการเปิดจุดขายเพิ่มในปี 2556 ทำให้รายได้รวมสำหรับงวด 9 เดือนเพิ่มขึ้น ณ ปัจจุบันร้านค้าดังกล่าวได้ทำการสั่งซื้อเป็นปกติแล้ว"

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 ได้ตั้งบริษัท ลุค บาลานซ์ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ถือหุ้นอยู่ 99.97 % เพื่อเป็น Holding Company ลงทุนในกิจการอื่น ล่าสุดได้เข้าไปลงทุนในบริษัท ไทม์ เดคโค คอร์ปอเรชั่้น จำกัด ด้วยเงิน 200 ล้านบาท โดยถือหุ้นอยู่ 51 เปอร์เซนต์ และผู้ถือหุ้นเดิมถืออยู่ 49 เปอร์เซนต์  

บริษัท ไทม์ เดคโค คอร์ปอเรชั่น จำกัด 

ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ. 2544 ประกอบธุรกิจนำเข้า และจัดจำหน่ายนาฬิกาแบรนด์ดังชั้นนำจากทั่วโลก และเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย (Exclusive Distribution) ในปัจจุบัน บริษัทฯ ได้นำเข้านาฬิกากว่า 20 แบรนด์ ทั้งในกลุ่มของ Fashion และ Fashion Luxury เพื่อให้ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าได้ในสไตส์ที่เป็นตัวเอง ในปี 2555 บริษัทมีจุดขายกว่า 80 จุดขาย ครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้งในห้างสรรพสินค้า ร้านตัวแทนจำหน่าย รวมถึงร้านค้าของ บริษัทภายใต้ชื่อ “ไทม์  เคดโค 
 (Time Deco Shop)

เป็นตัวแทนจำหน่าย 

Fashion Brand : ADIDAS,DIESEL, DKNY, FOSSIL,KENNETH COLE NEW YORK, LACOSTE, TOMMY HILFIGER

Fashion Luxury : BCBGMAXAZIAR, BURBERRY, COACH, EMPORIO ARMANI, HUGO BOSS, JUICY COUTURE, MARC BY MARC JACOBS, MICHAEL KORS

Swiss Brand : MOMO DESIGN, TECHNOMARINE, TSOVET, VICTORINOX, SWISS ARMY, ZENO WATCH BASEL


ที่มา : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า





แม็คกรุ๊ป เล็งขึ้นผู้นำไลฟ์สไตล์
วันอังคารที่ 08 ตุลาคม 2013 เวลา 14:53 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ

 "แม็ค กรุ๊ป"   มุ่งเป้าขึ้นผู้นำสินค้าไลฟ์สไตล์ เล็งขยายไลน์ธุรกิจครอบคลุมทั้งกลุ่มแฟชั่นเสื้อผ้า นาฬิกา รองเท้า และร้านอาหาร ล่าสุดประเดิมทุ่ม 200 ล้านบาท ฮุบไทม์ เดคโค ผู้นำนาฬิการายใหญ่ พร้อมถือหุ้น 51% เผยซินเนอยีจุดแข็งของแต่ละค่ายสร้างรายได้ระยะยาว ล่าสุดเปิดตัว "แม็คมินิ" จับลูกค้ากลุ่มเด็ก

นางสาวอรศิริ ชินกำธรวงศ์  ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ แม็คยีนส์  และแม็คมินิ  บริษัท แม็ค กรุ๊ป  จำกัด  (มหาชน)  เปิดเผยว่า เป้าหมายของแม็ค กรุ๊ป คือการก้าวขึ้นเป็นผู้นำในสินค้าไลฟ์สไตล์ ครอบคลุมทั้งในกลุ่มเสื้อผ้า  นาฬิกา  รองเท้า รวมไปถึงร้านอาหาร  ดังนั้นนอกเหนือจากการรุกทำตลาดแฟชั่นเสื้อผ้า ในกลุ่มยีนส์  ล่าสุดบริษัทได้จัดตั้งบริษัท  ลุค บาลานซ์ จำกัดขึ้น เพื่อทำหน้าที่ลงทุนในกิจการอื่น (Holdings Company)  โดยเริ่มจากการเข้าซื้อกิจการของบริษัท ไทม์ เดคโค คอร์ปอเรชั่น  จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายนาฬิกาแบรนด์ชั้นนำของโลกกว่า 20 แบรนด์ อาทิ  Diesel, DKNY, Emporio Armani, Burberry, Coach, Lacoste, Fossil  เป็นต้น พร้อมถือหุ้นในสัดส่วน 51%  ด้วยงบลงทุน 200 ล้านบาท โดยจะทำการซื้อขายได้ภายในวันที่ 30 ตุลาคมนี้ 

ทั้งนี้ไทม์ เดคโค จะเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 210 ล้านบาท จากปัจจุบันมีอยู่ 10 ล้านบาท โดยการเข้าซื้อกิจการดังกล่าว ถือเป็นการต่อยอดธุรกิจของบริษัทให้มีความหลากหลายมากขึ้น  จากปัจจุบันมีเพียงสินค้ายีนส์จำหน่ายเท่านั้น  ซึ่งหลังจากทำการซื้อขายกิจการเรียบร้อยในอนาคตบริษัทมีแผนที่จะซินเนอยีการทำธุรกิจร่วมกัน โดยอาศัยจุดแข็งของแต่ละบริษัท เพื่อทำให้ธุรกิจแข็งแกร่งมากขึ้น อาทิ การนำนาฬิกาไปวางจำหน่ายในช็อปของแม็คยีนส์กว่า 150 แห่ง , เครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายและคอนเนกชันในต่างจังหวัด , ระบบคลังสินค้าและเครือข่ายการกระจายสินค้า , ระบบคอมพิวเตอร์  , การฝึกอบรมและพัฒนาทีมขาย และระบบการบัญชี เป็นต้น

นางสาวอรศิริ กล่าวอีกว่า สำหรับเป้าหมายของแม็ค กรุ๊ป ในการรุกตลาดยีนส์ คือการมีสินค้าครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ทำให้ล่าสุดบริษัท เปิดตัวซับแบรนด์ใหม่ ภายใต้ชื่อ "แม็ค มินิ"  สำหรับเด็กอายุ 6-12 ปี  ส่งผลให้บริษัทมีสินค้ายีนส์รองรับลูกค้าตั้งแต่วัย 6- 60 ปีขึ้นไป  โดยเบื้องต้นบริษัททดลองวางจำหน่ายตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมาผ่านทางร้านแม็คยีนส์ราว 30 แห่ง  และได้รับการตอบรับที่ดีมาก ด้วยจุดเด่นเรื่องของงานดีไซน์ และการตัดเย็บ ขณะที่ราคาจะต่ำกว่าคู่แข่ง 15-20%  ส่วนในปีหน้าบริษัทจะเริ่มกระจายแม็ค มินิเข้าไปวางจำหน่ายยังห้างสรรพสินค้าชั้นนำ  พร้อมทำกิจกรรมการตลาดเพื่อสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง  โดยตั้งเป้าที่จะมีส่วนแบ่งตลาด 30% ในปี 2557 และเพิ่มขึ้นเป็น 40-50% หรือคิดเป็นยอดขายราว 100 ล้านบาทภายใน 3 ปี ส่งผลให้เป็นผู้นำตลาดแซงหน้า Lee Kids 

ขณะที่ภาพรวมของบริษัทในปีนี้ คาดว่าจะมีการเติบโตต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อย จากเดิมที่ตั้งเป้าเติบโต  30% จากภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ลดลง

MC เผยเข้าคำนวณ MSCI เริ่ม 26 พ.ย. หลังโรดโชว์สถาบันตปท.ถือหุ้นแล้ว 8%

สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 20 พฤศจิกายน 2556 14:00:59 น.
น.ส.สุณี เสรีภาณุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. แม็คกรุ๊ป (MC) กล่าวว่า บริษัทได้รับเลือกนำเข้าคำนวณดัชนี MSCI Global Small Cap Indices โดยเริ่มตั้งแต่ 26 พ.ย. นี้เป็นต้นไป
"บริษัทรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับคัดเลือกนำเข้าคำนวณดัชนี MSCI Global Small Cap ซึ่งเป็นดัชนีในระดับโลกที่นักลงทุนสถาบันทั่วโลกต้องติดตาม...ถึงแม้จะเพิ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาได้เพียง 4 เดือนเท่านั้น เชื่อว่าหลังจากนี้ บริษัท จะเป็นที่รู้จักของนักลงทุนต่างชาติมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากการที่บริษัท เดินทางไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ในต่างประเทศที่บริษัทดำเนินการอยู่แล้ว พร้อมกันนี้บริษัทจะเดินหน้าสร้างผลการดำเนินงานให้เติบโตตามเป้าที่ตั้งไว้" น.ส.สุณี กล่าว

น.ส.สุณี กล่าวว่า หลังจากการโรดโชว์ บริษัทมีนักลงทุนสถาบันต่างประเทศเข้ามาถือหุ้น MC เพิ่มขึ้น โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 8% จากเดิมที่ไม่มีนักลงทุนสถาบันต่างประเทศถือหุ้นอยู่เลย ทั้งนี้ผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 3/56 บริษัทมีกำไรสุทธิ 178 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 29 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นมาจากผลขยายช่องทางการจัดจำหน่ายต่อเนื่อง เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น รวมถึงการนำเสนอแบรนด์ใหม่เพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้า และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2556 นี้ บริษัทสามารถเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งสิ้น 79 แห่ง จากเป้าที่ตั้งไว้สำหรับปี 2556 ที่ 90 แห่ง คิดเป็นจำนวนช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งสิ้น 583 แห่ง นอกจากนี้ บริษัทเตรียมความพร้อมที่จะเติบโตต่อไปในอนาคต ด้วยแผนการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนตุลาคม 255 บริษัทเข้าลงทุนคิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 51 ในบริษัท ไทม์ เดคโค คอร์ปอเรชั่น จำกัด หนึ่งในผู้นำธุรกิจนำเข้า และจัดจำหน่ายนาฬิกาแบรนด์ดังชั้นนำจากทั่วโลก และเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้ก่อให้เกิดการต่อยอดทางธุรกิจอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเพิ่มรายได้ การเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการ เป็นต้น
----------------------------------------------------------------------------------------

----------------------------------------------------------------------------------------------
การปรับโครงสร้างผู้ถือหู้น ณ 13/1/2557

----------------------------------------------------------------------------------------------

ผลการดำเนินงานปี 56















-----------------------------------------------------------------------------------------------
วันอังคารที่ 21 มกราคม 2014 เวลา 14:04 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ

การประกาศรุกเข้าสู่ธุรกิจ "รีเทล"  ของแม็ค กรุ๊ป นอกจากสร้างความฮือฮาให้กับวงการแฟชั่นยีนส์ เมืองไทยแล้ว  ยังถือเป็นการตอกย้ำความเป็นมืออาชีพ ที่พร้อมจะเดินหน้าก้าวสู่ตลาดเอเชียอย่างเต็มรูปแบบด้วย สุณี เสรีภาณุโดยเฉพาะหลังการเข้าซื้อกิจการของ "ไทม์ เดคโค"  ที่เพิ่มศักยภาพ ต่อยอดความเป็นไลฟ์สไตล์ให้แม็ค กรุ๊ปได้มากขึ้น "ฐานเศรษฐกิจ"  ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ "สุณี  เสรีภาณุ"  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็ค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่จะมาเผยถึงแนวทางธุรกิจที่กำลังจะออกวิ่งในปี 2557

 ++ เพิ่มช่องขายผ่านโมบาย ยูนิต
    "สุณี"  บอกว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้าที่จะเติบโต 20% โดยจะใช้งบลงทุนราว 300 ล้านบาทในการรุกธุรกิจ โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษายอดการเติบโตทั้งจากสาขาเดิมที่มีอยู่กว่า   600 จุดขาย และการขยายจุดขายใหม่เพิ่มขึ้นอีกราว 100 จุดขาย ซึ่งจะมีทั้งในรูปแบบฟรี สแตนดิ้ง และเคาน์เตอร์ ขณะเดียวกันก็เพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้หลากหลาย เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคมากที่สุด โดยเพิ่มจำนวนรถ "แม็ค โมบาย ยูนิต"  ร้านจำหน่ายยีนส์เคลื่อนที่โดยใช้รถบัสขนาดใหญ่อีก 3 คัน จากปัจจุบันที่มีอยู่ 1 คัน  ที่วิ่งออกไปตั้งช็อปจำหน่ายหน้าโรงงานอุตสาหกรรม , งานแฟร์ , งานวัด , ซูเปอร์สโตร์ เป็นต้น ซึ่งใช้งบลงทุน 3 ล้านบาทต่อคัน
    "เราทดลองทำแม็ค โมบาย ยูนิต 1 คัน เมื่อปลายปีก่อน เพราะต้องการสร้างโอกาสและเพิ่มช่องทางการขายให้เจาะเข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากที่สุด ซึ่งผลตอบรับพบว่า มียอดขายดีเกินที่คาดไว้ โดยมียอดขายเฉลี่ย 8-9 แสนบาทต่อเดือน สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้คือ 5 แสนบาทต่อเดือน  ทำให้บริษัทตัดสินใจขยายแม็ค โมบาย ยูนิตเพิ่มขึ้นในปีนี้"

 ++ ผุดช็อปใหม่ 2 แบรนด์
    บริษัทเปิดแบรนด์ใหม่ "เดอะ บลู บราเธอร์" (The Blue Brother) ร้านจำหน่ายยีนส์ในรูปแบบมัลติแบรนด์ โดยเน้นจำหน่ายยีนส์ ที่มีเอกลักษณ์พิเศษ แตกต่างจากยีนส์ทั่วไป โดยนำเข้ายีนส์จากต่างประเทศ อาทิ K.O.I ,  Kuichi , Dstrezzed เป็นต้น และแบรนด์เดอะ บลู บราเธอร์ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่บริษัทพัฒนาขึ้นเอง  มีราคาตั้งแต่ 2 พันบาทขึ้นไป โดยเปิดสาขาแรกที่เดอะ เควิจเลจ สุขุมวิท  และบริษัทยังมีแผนเปิดเดอะ บลู บราเธอร์อีก 2-3 สาขาด้วย

    นอกจากนี้บริษัทยังเปิดช็อปใหม่ภายใต้ชื่อ "แม็ค แม็ค" (MC  MC) ร้านจำหน่ายสินค้าแฟชั่นยีนส์ขนาดใหญ่ มีพื้นที่ราว 200 ตารางเมตร เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าทั่วไป โดยเน้นจำหน่ายทั้งกางเกงยีนส์  เสื้อเชิ้ต ฯลฯ โดยระดับราคาจะถูกกว่าสินค้าเฮาส์แบรนด์  และสินค้าแบรนด์ไทยทั่วไป   10-20%  ทั้งนี้บริษัทจะเน้นเปิดสาขาตามหัวเมืองใหญ่เป็นหลัก  โดยแม็ค แม็ค สาขาแรกตั้งอยู่ที่หาดใหญ่ และมีแผนเปิดสาขา 2 ที่บิ๊กซี  พิษณุโลก ก่อนที่จะขยายเพิ่มเป็น 5-6 สาขาในปีนี้

 ++ ปูพรมตลาดอาเซียน
     ด้านแผนการขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน  "สุณี" บอกว่า ช่วงที่ผ่านมาถือเป็นการเทสต์ตลาด โดยเริ่มจากเมียนมาร์  และลาว ซึ่งมีผลการตอบรับดี  ทำให้บริษัทมีแผนขยายตลาดไปยังประเทศมาเลเซียโดยช็อปแรกจะเปิดในเดือนกุมภาพันธ์ และเวียดนามในเดือนมีนาคมนี้ ก่อนที่จะขยายไปยังอินโดนีเซียต่อไป โดยอยู่ระหว่างการเจรจาหาพันธมิตรซึ่งเป็นนักธุรกิจท้องถิ่น   โดยการรุกตลาดในอาเซียนครั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าที่จะมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 20-30% จากปัจจุบันที่มีอยู่ราว 5% ภายในระยะเวลา 4-5 ปี 
    "เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปลายปีหน้า บริษัทได้ตั้งแผนกเออีซีขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่ศึกษาหาข้อมูล กฎหมาย ภาษี ระบบโลจิสติกส์ หรือความต้องการตลาดในแต่ละประเทศ โดยเรามีเป้าหมายที่จะสร้างให้แม็คเป็นยีนส์สำหรับคนเอเชีย และเป็นแบรนด์ที่คนนึกถึงเป็นอันดับแรกๆ เมื่อกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ยีนส์"
 ++ เสริมธุรกิจสร้างฐานแข็งแรง
    "สุณี"  ย้ำว่า เป้าหมายของแม็ค คือ การสร้างธุรกิจให้แข็งแรง และเมื่อธุรกิจติดลมบน ก็จะหันหาธุรกิจใหม่  ซึ่งจากจุดเริ่มต้นยีนส์ สู่รีเทล และกำลังก้าวสู่ไลฟ์สไตล์ หลังการเข้าซื้อกิจการของไทม์ เดคโค และกำลังมองหาช่องทางการพัฒนาธุรกิจใหม่อีก  โดยยุทธ์ศาสตร์ในการดำเนินธุรกิจ 3 ปีนับจากนี้ (ปี 2557-2559)  คือ การเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้มากที่สุด  , การเพิ่มไลน์สินค้าให้หลากหลาย และ การบริการที่สมบูรณ์  ซึ่งทั้งหมดถือเป็นความท้าทายแต่แม็ค กรุ๊ปก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว
    โดยในปีนี้แม็ค กรุ๊ป ตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้ราว 4.4 พันล้านบาท  เติบโตขึ้นจากปีก่อนกว่า 10%  ขณะที่ตลาดรวมยีนส์ที่จำหน่ายในดีพาร์ตเมนต์สโตร์  มีมูลค่าตลาด 6 พันล้านบาท โดยแม็ค เป็นผู้นำตลาดมีส่วนแบ่งตลาด 38-39%   รองลงมาได้แก่ ลีวายส์ 28-29% และลี 20%

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,916  วันที่  23 - 25  มกราคม  พ.ศ. 2557

------------------------------------------------------------------------------

MCกำไรปี 56 ที่ 733ลบ.โต 22% ปันผล 0.23 บาท /หุ้น

ฐานเศรษฐกิจออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 11:46 น.

บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (“MC”) ประสบความสำเร็จไปอีกขั้น จากกลยุทธ์การขยายช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง และพร้อมก้าวไปอีกขั้นสู่การเป็นผู้ดำเนินธุรกิจไลฟ์สไตล์ในเอเชีย ประกาศผลกำไรสุทธิ ปี 2556 จำนวน 733 ล้านบาท เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 22 จากผลการดำเนินงานในปี 2555 โดยในไตรมาส 4 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 211 ล้านบาท เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 22 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ บริษัทฯประกาศจ่ายปันผลจำนวน 0.23 บาทต่อหุ้น คิดเป็นจำนวน 184 ล้านบาท  คิดเป็นกว่า 87% ของกำไรสุทธิรวม

นางปรารถนา มงคลกุล ประธานกรรมการบริหาร บมจ. แม็คกรุ๊ป เปิดเผยว่า “ผลประกอบการในปี 2556 นับเป็นที่น่าพอใจ บริษัทฯสามารถเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งจากปี 2555 ตามเป้าที่ตั้งไว้ ถึงแม้จะมีการชะลอตัวในการบริโภคของผู้บริโภค โดยอัตราการเติบโต เกิดจากการขยายช่องทางในการขายทั้งในและต่างประเทศของธุรกิจจัดจำหน่ายเครื่องแต่งกาย เพื่อรักษาความเป็นผู้นำของตลาด ที่ปัจจุบันมีเกินกว่า 600 แห่ง รวมถึงความสำเร็จในการเข้าร่วมลงทุนในบริษัทไทม์ เดคโค คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นการตอกย้ำการก้าวสุ่ธุรกิจไลฟ์สไตล์มากยิ่งขึ้น โดยมีการควบรวมผลการดำเนินงานของ ไทม์ เดคโค นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2556 เป็นต้นมา”

โดยรายได้จากการขายทั้งปีปรับตัวสูงถึง 2,973 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็นอัตราร้อยละ 16 เมื่อเปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานในปี 2555 และเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 21 เทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว นอกจากนี้แล้ว อัตราการเติบโตของรายได้ต่อจุดขายมีการเติบโตที่ดี สามารถพลิกกลับมาบวกได้ที่อัตราร้อยละ 4 ในไตรมาส 4 ปี 2556 จากเดิมที่เคยติดลบในไตรมาส 2 และ ไตรมาส 3  ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการนำเสนอสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ควบคู่กับการเสริมสร้างทักษะและความรู้ให้กับทีมพนักงานในสายงานขาย ให้สามารถสื่อสารและบริการได้ตรงตามความต้องการของกลุ่มลูกค้า ตลอดจนให้บริการได้อย่างมืออาชีพ ผ่านโครงการ “แม็ค อคาเดมี” (MC Academy)

ในเดือนธันวาคม 2556 บริษัทฯ มีการเปิดร้านค้าปลีก The Blue Brothers Denim Store อย่างเต็มรูปแบบเป็นแห่งแรก โดยจัดจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ The Blue Brothers  และสินค้ายีนส์แบรนด์ชื่อดังจากเนเธอร์แลนด์ K.O.I. (King of Indigo) และ Kuyichi ที่มีความเฉพาะตัวทั้งรูปแบบ ดีไซน์ และการสวมใส่ เน้นคุณภาพระดับพรีเมี่ยม ทั้งยังเปิดตัว แบรนด์ “mcmc” ภายใต้แนวคิด “365 days of style วันไหนไหนก็ mcmc” เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภคได้หลากหลายยิ่งขึ้น

น.ส. สุณี เสรีภาณุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. แม็คกรุ๊ป กล่าวเสริมว่า “สำหรับการเติบโตในอนาคต บริษัทฯ ตั้งเป้าที่จะเติบโตในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 20 ต่อปี โดยในปี 2557 นี้บริษัทฯมีแผนจะขยายช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่องเพิ่มอีกกว่า100 จุด และเพิ่มรถโมบายเคลื่อนที่อีกจำนวน 5 คัน เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังขยายเพิ่มเติมไปสู่ประเทศในกลุ่มอาเซียนเพื่อให้เป็นที่รู้จักในภูมิภาคอย่างแพร่หลาย โดยตั้งเป้ายอดขายจากต่างประเทศสำหรับปี 2557 ที่ 100 ล้านบาท และนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ทีมีจุดเด่นและรูปแบบที่แตกต่างกัน เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่หลากหลายได้ดียิ่งขึ้น”

ทั้งนี้บริษัทได้กำหนดวันขึ้นเครื่องหมาย XD (Ex-dividend date) ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2557 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิ์รับเงินปันผลในวันที่ 8 พฤษภาคม 2557 จากนั้นบริษัทจะทำการปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 9 พฤษภาคม 2557 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 พฤษภาคม 2557 
---------------------------------------------------------------------------
Key Presentation in Opportunity Day ( Feb 28, 2014)





------------------------------------------------------------------
ยีนส์ไทย ไม่ธรรมดา
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ โดย : บุษกร ภู่แสวันที่ 17 ธันวาคม 2555

นอกจากยีนส์แบรนด์อินเตอร์แล้ว ตลาดยีนส์ยังมีพื้นที่สำหรับแบรนด์ไทย ซึ่งมีจุดเด่นที่คุณภาพดี ดีไซน์ ราคา ซึ่งในแต่ละแบรนด์จะมีเอกลักษณ์เฉพาะ

คนไทยกว่าร้อยละ 43 ชื่นชอบการสวมใส่ยีนส์ในชีวิตประจำวัน และวัยรุ่นอายุ 15-24 ปีจะมีกางเกงยีนส์เฉลี่ยถึงคนละ 6 ตัว เป็นผลวิจัยตลาด 2012 COTTON USA Global Lifestyle Monitor ซึ่งเป็นการสำรวจพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค 9 ประเทศรวมถึงไทย

มูลค่าตลาดรวมยีนส์ในเมืองไทยอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท มีแนวโน้มการเติบโตไม่ต่ำกว่า 15-20% ต่อปี แบรนด์ผู้นำคือ ลีวายส์ ตัวแทนแห่งยีนส์ ใส่แล้วรู้สึกเท่ ล้ำสมัย ขณะที่ยีนส์ลีขยันออกคอลเลกชั่นใหม่ชนิดถี่ยิบเอาใจผู้สวมใส่ในทุกฤดูกาล และแม็คยีนส์ แบรนด์ไทยที่ติดอันดับ 1 ในสามยอดฮิตด้วยจุดแข็งที่เข้าถึงความต้องการของคนไทยในทุกเซกเมนต์

นอกจาก 3 แบรนด์ท็อปทรีแล้ว ตลาดยีนส์ยังมีพื้นที่อีกมากสำหรับแบรนด์ไทย ซึ่งมีจุดเด่นที่คุณภาพดี ส่วนใหญ่ใช้ผ้านำเข้าจากญี่ปุ่นทั้งผ้าฟอกและผ้าดิบ ตัดเย็บประณีต บางแบรนด์เป็นแฮนด์เมดหรือเย็บแบบตัวต่อตัวและราคาสมเหตุสมผล และที่สำคัญฝีมือคนไทยซึ่งในแต่ละแบรนด์จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างกันชัดเจน

จุดเด่นศิลปะไทย

ธัชวีร์ สนธิระติ เจ้าของแบรนด์อินดิโก้สกิน (Indigoskin) กล่าวว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา พฤติกรรมวัยรุ่นไทยเปลี่ยนมาให้ความสนใจในคุณภาพและความคงทน พร้อมที่จะเปลี่ยนแบรนด์ใหม่ตลอดเวลา จึงกลายเป็นโอกาสให้ยีนส์ไทยได้เข้ามาแทรกในตลาดได้ง่าย จากเดิมที่ยึดติดกับแบรนด์ดังจากต่างประเทศในราคาแพงการเปลี่ยนแปลงนี้ยังส่งผลไปถึงสินค้าแฟชั่นอื่นๆ เช่น เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า

สำหรับยีนส์อินดิโก้สกินมีความโดดเด่นที่การตัดเย็บแบบประณีตจากช่างไทย พร้อมนำศิลปะไทยมาผสมผสานสร้างเป็นสัญลักษณ์เฉพาะตัว อาทิ ลายกนกที่กระเป๋าหลัง การใช้ดิ้นทอง นาก เงินมาเย็บตรงตะเข็บ ใช้ผ้าพิมพ์ลายไทยจากโขมพัสตร์และจิมทอมป์สันมาตกแต่ง รวมทั้งผ้าไทยอื่นๆเช่น ผ้าขาวม้า ผ้าไหมไทย ผ้าม่อฮ่อม ฯลฯ มามิกซ์แอนด์แมทช์ให้เกิดดีไซน์ใหม่ขึ้นมา

"เราถือเป็นแบรนด์ไทยแรกที่โดดมาจับตลาดระดับบน ที่มีคู่แข่งเป็นยีนส์ต่างประเทศ เนื่องจากต้องการวางตำแหน่งของแบรนด์ให้มีความแตกต่าง ทั้งในเรื่องของเอกลักษณ์และคุณภาพ แทนกลยุทธ์ราคา" เขากล่าวและว่า กลุ่มลูกค้าให้การยอมรับกับแนวคิดที่นำศิลปะไทยมาผสมผสานกับผ้ายีนส์ญี่ปุ่น ปัจจุบันยอดขายเพิ่มขึ้นเกือบ 4,000 ตัวจากช่วงแรกยอดขายไม่ถึง 500 ตัว
กลุ่มลูกค้าหลักของแบรนด์อินดิโก้สกิน คือ วัยรุ่นอายุตั้งแต่ 18-35 ปีคือ กลุ่มนักเรียน นักศึกษาไปจนถึงวัยทำงาน คิดเป็นสัดส่วน 60% ถือเป็นกลุ่มคนที่มีอิทธิพลและกำลังซื้อสูงในตลาด บวกความเป็นคนรุ่นใหม่จึงกล้าที่จะลองของใหม่ และกลุ่มนักสะสมกางเกงยีนส์

สไตล์คลาสสิก

วานรบางกอก (Vanorn Bangkok) อีกหนึ่งแบรนด์ไทยที่วางตัวเองยีนส์ไทยโฮมเมดร่วมสมัย มีหนุมานเป็นสัญลักษณ์ จากการสร้างสรรค์ของพิชิต หทัยพันธลักษณ์ และไตรพิตรา ศรีวงษ์ฉาย

จุดขายของวานรบางกอก คือสไตล์คลาสสิกที่สวมใส่ได้ทุกโอกาส จึงเกิดความคุ้มค่าสูงสุด ขณะเดียวกันในแง่การผลิตก็ไม่ยุ่งยากเพราะไม่ต้องอิงเทรนด์แฟชั่นว่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ตัดผ้าด้วยกรรไกรแบบตัวต่อตัว อย่างพิถีพิถันทุกรายละเอียด รวมถึงบริการรับสั่งตัดแบบตัวต่อตัว

ส่วนการตั้งชื่อแบรนด์ วานรบางกอก” (Vanorn Bangkok) เน้นรูปแบบกราฟิกสไตล์สากล (ไม่มีสระบน-ล่าง) และหากมองในแง่ของความหมายแล้ว วานรที่แปลว่า ลิง ก็สะท้อนถึงความเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ ส่วน บางกอก” (Bangkok) นั้นก็เป็นคำที่คุ้นหูสำหรับชาวต่างชาติ และให้ความรู้สึกถึงความเป็นไทยชัดเจน

แม้ว่ากางเกงยีนส์จะได้รับอิทธิพลมาจากต่างประเทศ แต่ยีนส์เป็นเครื่องแต่งกายสากลที่เข้าได้กับทุกเพศ ทุกวัยและทุกสถานะ ไม่ว่าจะเป็น สตรีทแวร์ ระดับไฮ-เอนด์ ถือเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความเป็นสากลกับเอกลักษณ์ไทย เช่น กระดุมรูปหัวลิงที่ถอดมาจากหัวโขนของหนุมาน และกระเป๋าหลังที่เดินด้ายเป็นรูปอักษร ก็ให้ความรู้สึกเป็นไทยได้ ทุกรายละเอียดของแบรนด์วานรบางกอก ล้วนเกิดขึ้นจากความตั้งใจของสองนักออกแบบคู่นี้


วัยรุ่นไทยมีกางเกงยีนส์เฉลี่ยคนละ 6 ตัว ในจำนวนนี้ขอพื้นที่สำหรับแบรนด์ไทยแล้วจะรู้ว่า 
ยีนส์ไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก ที่สำคัญเงินไม่ไหลออกต่างประเทศ
----------------------------------------------------------------------------------------------
'แม็ค'เปิดช็อปขายยีนส์หรูประเดิมสาขาแรกเค-วิลเลจ
วันอังคารที่ 10 มิถุนายน 2014 เวลา 17:32 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ

แม็ค กรุ๊ปฯ ขยายไลน์รุกตลาดยีนส์หรู เปิดตัว "THE BLUE BROTHERS" ขนทัพแบรนด์เนมตีตลาดไทย  ประเดิมเปิดสาขาแรกเค - วิลเลจ  ก่อนขยายเมืองท่องเที่ยว พร้อมเดินหน้ารุกมาเลย์ สิงคโปร์  มั่นใจ 3 ปีข้างหน้า โกยยอดขายไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท
นางสาวสุณี เสรีภาณุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็ค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายกางเกง "แม็ค ยีนส์" เปิดเผยว่า บริษัทเพิ่มไลน์ยีนส์เกรดพรีเมียมเพื่อเจาะตลาดผู้ที่ชื่นชอบในยีนส์ โดยเปิดช็อปภายใต้ชื่อ  "THE BLUE BROTHERS" สาขาแรกที่ K-VILLAGE เพื่อให้มีความแตกต่างและน่าสนใจ ตอบโจทย์พร้อมสร้างทางเลือกให้กลุ่มยีนส์เลิฟเวอร์ที่มีสไตล์เฉพาะตัวและคลั่งไคล้ในยีนส์ได้เลือกสรร ขณะที่ตลาดยีนส์กลุ่มดังกล่าวมีราคาสูงกว่า 120 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัว หรือราว 3.8 พันบาท (จากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 32 บาทต่อดอลล่าสหรัฐฯ) ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มยีนส์นำเข้าโดยผู้นำเข้าอิสระ และกลุ่มห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ดังนั้นบริษัทจึงเห็นช่องว่างและโอกาสในการทำตลาดของกลุ่มลูกค้าว่าต้องการสินค้าที่มีลูกเล่น และไอเดียภายใต้แนวคิด ใส่ใจทุกรายละเอียด เลือกใช้วัตถุดิบที่พิเศษ จนเป็นที่มาของยีนส์ที่มีเรื่องราว และเป็นที่มาของ "THE BLUE BROTHERS STYLE"
    "อุปสรรคของแบรนด์นำเข้าคือ มีต้นทุนที่สูง การผลิตที่สูง ตลอดจน กำลังผลิตมีน้อย เพราะเป็นงานฝีมือ และเมื่อรวมค่าใช้จ่ายที่นำเข้าและการตลาด ทำให้สินค้ามีราคาสูงถึง 200 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัว หรือราว 6.4 พันบาทขึ้นไป ซึ่งไม่ตอบโจทย์  ช่องว่างตรงนี้ บริษัทจึงมองเห็นช่องทางการผลิตและจัดจำหน่ายอยู่ระยะหนึ่งรวมถึงจังหวะและโอกาสที่เหมาะสมของตลาดจึงตัดสินใจเปิดตัว "THE BLUE BROTHERS" โดยร่วมกับแบรนด์จากต่างประเทศ อาทิ นอร์เวย์ ฯลฯ  ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ Kuyichi, K.O.I และ Dstrezzed เป็นต้น โดยเป็นการร่วมกันพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ของคนไทย ที่ปัจจุบันให้ความสำคัญกับความเป็นเอกลักษณ์และความเป็นตัวตนของตัวเองมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการพิจารณาด้านต้นทุน เพื่อให้สอดคล้องกับกำลังซื้อของคนไทย และเพื่อเป็นกลยุทธ์ในการขยายตลาด ซึ่งบริษัทมีความเชื่อว่าขนาดตลาดจะมีการเติบโตอย่างมากในอนาคต"
    ด้านการขยายจุดจำหน่ายจะแตกต่างจาก Mc Jeans ซึ่งใช้นโยบายป่าล้อมเมือง โดยในช่วงต้นจะเปิดตัวในกรุงเทพฯ และหลังจากนั้นจะเริ่มทดลองในเมืองท่องเที่ยวและหัวเมืองเศรษฐกิจต่างๆ ตลอดจนมีความเป็นไปได้ที่จะนำ "THE BLUE BROTHERS" ไปเปิดตลาดและเติบโตในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย, สิงคโปร์ ซึ่งมีกำลังซื้อที่ดี ในปีแรกจะมีการเปิดจุดจำหน่ายในกรุงเทพฯ 2 จุด และมีการใช้แผนการตลาดเพิ่มเติม โดยจะใช้รูปแบบ Pop-Up Store เพื่อให้เข้าถึงได้เร็วยิ่งขึ้น และเป็นการเก็บข้อมูลจากฐานกลุ่มลูกค้าตลอดจนวิจัยพฤติกรรม ของผู้บริโภค ซึ่ง Pop-Up Store  จะมีการดำเนินการทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด
    ทั้งนี้โดยบริษัทจะใช้งบการทำตลาด  10-20 ล้านบาทต่อปีสำหรับการโฆษณาประชาสัมพันธ์และจัดกิจกรรมให้กับร้าน และตั้งเป้าที่จะมียอดขายไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาทใน 3 ปี  หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 3-5% ของสินค้า Mc Group ทั้งหมด

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 2,956 วันที่ 12 - 14  มิถุนายน  พ.ศ. 2557
-------------------------------------------------------------------

--------------------------------------------------------------------------

แม็คกรุ๊ปเปิดตัวร้านเดอะบลู บราเธอร์ส สาขาแรก เค-วิลเลจ

ฐานออนไลน์ วันพุธที่ 18 มิถุนายน 2014 เวลา 23:07 น 


นางสาวสุณี  เสรีภาณุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (คนที่3จากซ้าย) นายวิรัช เสรีภาณุ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (คนที่4จากซ้าย) บริษัท แม๊คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC ร่วมงาน เปิดตัวร้าน “เดอะ บลู บราเธอร์ส เดนิม สโตร์”  สาขาแรก ที่เค-วิลเลจ สุขุมวิท ซอย 26 โดยในร้านมีจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ เดอะ บลู บราเธอร์ส ซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่ของกลุ่มบริษัทฯเข้าไปจับตลาดกลุ่มพรีเมี่ยม พร้อมดึงยีนส์บิ๊กเนมชั้นนำจากเนเธอแลนด์เข้าร่วมจำหน่าย เช่น Kuyichi, K.O.I และ Dstrezzed โดยมีทีม อะเดย์ นำโดยนายวงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ ผู้อํานวยการบริหารนิตยสาร a day (คนที่2จากซ้าย) และนายช้างน้อย กุญชร ณ อยุธยา ผู้อํานวยการฝ่ายการตลาด นิตยสาร a day (คนที่5จากซ้าย) ร่วมจัดงานครั้งนี้ด้วย
-------------------------------------------------------------------------------------

------------------------------------------------------
MC เพิ่มเป้ารายได้ปีนี้เป็นโตกว่า 25%จาก 20-25%,คาดสรุปดีล M&A อีกราย
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 25 สิงหาคม 2557 14:40:45 น.

บมจ.แม็คกรุ๊ป(MC) ปรับเพิ่มเป้ารายได้ในปีนี้เป็นเติบโตไม่ต่ำกว่า 25% จากเดิมคาดว่าจะเติบโตราว 20-25% เนื่องจากในครึ่งปีแรกรายได้ยังเติบโตได้ดี แม้ว่าสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย ขณะที่ไตรมาส 3/5 คาดว่ารายได้จะทำได้ใกล้เคียงกับไตรมาส 2/57 แต่ในไตรมาส 4/57 รายไยด้จะเติบโตได้อย่างโดดเด่น แต่บริษัทยอมรับว่าอัตรากำไรสุทธิในปีนี้จะลดลงจากปีก่อนราว 2% มาอยู่ที่ 24% จากผลการทำโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขาย ประกอบกับ สินค้าของไทม์ เดคโค มีอัตรากำไรต่ำกว่าสินค้าหลัก

ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อกิจการในประเทศเพิ่มเติม โดยมีการเจรจา 3 ราย คาดว่าภายในปีนี้น่าจะสรุปได้อย่างน้อย 1 ราย ขนาดมูลค่ากิจการราว 500 ล้านบาท บวก/ลบ ขณะเดียวกันก็เดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศ โดยตั้งเป้าสัดส่วนยอดขายต่างประเทศเพิ่มเป็น 10% ภายในปี 61 จากปัจจุบันมีอยู่ไม่ถึง 1%


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น