วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สภาพตลาดกระเบื้อง

ข่าวนี้คงทำให้เห็นสภาพตลาดกระเบื้องได้เป็นอย่างดี
-----------------------------------------------------------------

โสสุุุุโก้แหวกกับดักภาวะตลาดนิ่ง

วันพุธที่ 11 ธันวาคม 2013 เวลา 12:33 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ

โสสุโก้ ชี้ตลาดกระเบื้องปูพื้นและบุผนังปี 2556 ติดหล่มวงจรเศรษฐกิจ แถมเจอพิษสินค้าจีนบุกตลาด กระทบอัตราการเติบโตของบริษัทเหลือแค่ 3% แต่ยังคงเป็นไปตามเป้า คาดทั้งปีทำยอดขาย 5 พันล้านบาท 
    
นายกิตติชัย ไกรก่อกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โสสุโก้ แอนด์ กรุ๊ป (2008) จำกัด เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงภาพรวมตลาดกระเบื้องปูพื้นและบุผนังว่า อยู่ในสภาพที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องแบบคงที่คือ 4-5% และคิดว่าอัตราการเติบโตจะยังไม่คึกคักมากนักในปีนี้  เรื่อยไปจนถึงปี 2558 เหตุจากนโยบายรถคันแรกดูดกำลังซื้อไปเป็นจำนวนมาก ทำให้ตลาดซ่อมแซม และต่อเติมบ้านซึ่งมีสัดส่วนมากถึง 80% ของตลาดรวมชะลอตัว

โดยปัจจัยลบที่ทำให้อัตราการเติบโตลดลงเป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศไม่เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ ภาระหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับวงจรตลาดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2545-2555) เป็นช่วงขาขึ้นมาตลอด ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่หลังจากนี้ตลาดจะเข้าสู่ขาลง ถือเป็นวัฏจักรของตลาด ปัจจัยลบลำดับถัดมาคือ การเข้ามาทำตลาดของสินค้าจีน โดยสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดในประเทศไปได้ถึง 40-50 ล้านตร.ม. หรือกว่า 20% ของตลาดรวม ที่มีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 230 ล้านตร.ม. มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ความต้องการต่อหัวต่อคนเฉลี่ยอยู่ที่กว่า 2 ตร.ม. หรือ 200 ล้านตร.ม. ต่อปี

"การเข้ามาของสินค้าจีนทำให้ผู้ประกอบการไทยทำตลาดได้ยากขึ้น เนื่องจากราคาถูกกว่ากระเบื้องไทย และกระเบื้องนำเข้า เช่น แกรนิตธรรมชาติปกติขาย 1,000 บาทต่อตร.ม. ถ้าเป็นแกรนิตจากแอฟริกาหรืออินเดีย 2,000-3,000 บาทต่อตร.ม. ในขณะที่แกรนิตจากประเทศจีนมีราคาขายอยู่ที่ 200 บาทต่อตร.ม. แต่เมื่อเปรียบเทียบในแง่ของคุณภาพพบว่า สินค้าจากจีนมีคุณภาพด้อยกว่า ทั้งนี้เชื่อว่าในปี 2557 สินค้าจากจีนจะทำตลาดในประเทศได้ยากขึ้น เนื่องจากต้องได้รับการรับรองจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และต้องได้รับไลเซนส์ก่อนถึงจะเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยได้ ประกอบกับต้นทุนการผลิตของจีนสูงขึ้น เหตุจากค่าแรงเพิ่มขึ้น"

นายกิตติชัย ยังให้รายละเอียดด้วยว่า แม้ว่าภาครัฐจะควบคุมโดยกำหนดให้มีไลเซนส์ แต่ผู้ประกอบการก็ไม่ควรประมาท สำหรับบริษัท เตรียมการรับมือด้วยการใช้เทคโนโลยีมาใช้ในการผลิต โดยการพิมพ์ลวดลายด้วยระบบ Digital Technology ในเรื่องของความสวยงาม สามารถพิมพ์ตามต้นแบบได้ทุกลาย และทุกพื้นผิว โดยเฉพาะลายเลียนแบบธรรมชาติ เช่น ลายไม้ ลายหินอ่อน ลายหินแกรนิต ลายหินธรรมชาติ และลายกรวด เป็นต้น ทำให้เกิดมิติของภาพที่เหมือนของจริง ในขณะที่ราคาถูกกว่าหินธรรมชาติถึง 10 เท่า และออกลวดลายใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้บริษัทยังตั้งเป้าขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นด้วย เพื่อเป็นแผนสำรองในกรณีที่ตลาดภายในประเทศประสบปัญหา ซึ่งปัจจุบันบริษัทมียอดขายจากตลาดต่างประเทศที่ประมาณ 1 พันล้านบาท คิดเป็น 10% ของยอดขายรวม คาดว่าในปี 2557 บริษัทจะสามารถขยายตลาดต่างประเทศจาก 20-21%  ในปัจจุบันเป็น 25% ได้สำเร็จ โดยประเทศเป้าหมายได้แก่ ประเทศแอฟริกา แคนาดา ออสเตรเลีย 

สำหรับผลกระทบที่บริษัทได้รับคือ อัตราการเติบโตเหลือแค่ 3% จากเดิมที่จะอยู่ประมาณ 5% แต่ยอดขายยังคงเติบโตได้ตามเป้า โดยครึ่งปีแรกมียอดขายกว่า 2.65 พันล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 3-4% และคาดว่าทั้งปีจะทำได้ตามเป้า 5 พันล้านบาท

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น